ดวงตา...ภาษาหัวใจ ณรงค์ ชื่นนิรันดร์
นักปราชญ์ หรือ ไม่ใช่นักปราชญ์ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ หรือบางท่านก็บอกว่า ดวงตาคือภาษาของหัวใจ ทั้งดวงตา และ หัวใจ เป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย หากดวงตาของเรามืดบอดก็จะมองไม่เห็น โลกที่ศิวิไลซ์ และหากหัวใจของเรา หยุดเต้น ชีวิตนี้ก็ต้องจบลงด้วยเช่นกัน แต่ทั้งสองสิ่งที่กล่าวมา เป็นเรื่องของร่างกาย แต่สิ่งที่ผมจะว่าต่อไปนี้เป็นเรื่องของ จิตใจ ที่ถูกถ่ายทอด จากจิต หรือพลังจิต ผ่าน กิริยาท่าทาง แล้วส่งผ่านไปสู่ดวงตา
เมื่อครั้งที่ผมเดินทางไปประเทศเยอรมัน เช็ก และออสเตรีย ผมมีความปรารถนา ที่อยากจะถ่ายรูปกับผู้คนพลเมืองของทั้งสามประเทศที่ได้เดินทางไป แต่ก็มีอุปสรรคคือ ผมไม่มีความรู้เรื่องภาษาที่พอจะพูดจาทักทาย ที่เป็นประโยคยาว ๆ ได้ แต่ด้วยความที่ผมมีความมุ่งมั่นตามความใฝ่ฝันของผม ว่าอยากจะถ่ายรูปกับหญิงสาวของทั้งสามประเทศให้ได้ เพราะอยากจะนำเรื่องมาเล่าให้ท่านฟัง
ผมว่าเรื่องภาษาไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ปัญหาใหญ่ของผมมันอยู่ที่ คุณกล้าพอที่จะเข้าไปขอเขาถ่ายรูปหรือไม่ ผมจำต้องสวมวิญญาณพระเจ้าตากสิน ที่ต้องทำให้ได้ ซึ่งก็เป็นผลครับ ผมทำได้โดยที่ผมไม่ต้องเอ่ยปากขอหญิงสาวชาวต่างแดน ถ่ายรูปคู่กับเธอ
คนแรกที่ผมขอถ่ายรูปด้วยคือ หญิงสาววัยรุ่นชาวเช็ก ดูท่าทางจะมีอายุราว 17-18 ปี ประมาณ นั้น เธอกำลังยืนรอรถรางอยู่คนเดียว รูปร่างเธอสูงประมาณ 170 ซม.ผมสีดำ ดัดเป็นลอนยาวประบ่า ปากนิดจมูกหน่อย แก้มแดงเรื่อ ๆ สวยดึงดูดใจชายอย่างพวกเรา สาวน้อย สวมชุดคลุมสีดำ เพราะอากาศที่เช็กตอนนั้นก็ราว 0 องศา ประมาณว่าอยู่ในตู้เย็น ผมว่าเธอสวยใช้ได้ทีเดียวครับ ตอนแรกผมกำลังจะเดินไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ แต่พอเห็นคุณสนธยา ยืนถ่ายวิดีโออยู่ จด ๆ จ้อง ๆ บริเวณนั้น ผมคิดแผล็บเดียวก็พอจะอ่านใจ คุณสนธยาได้ ผมก็เลยถือโอกาส เป็นลักษณะให้คุณสนธยา ไปขอถ่ายรูปกับสาวน้อย ซึ่งเธอก็ไม่ปฏิเสธ เพราะกิริยาท่าทางของพวกเราแสดงออกให้เห็นว่ามีความประสงค์ที่ต้องการจะถ่ายรูปกับเธอ โดยผมเป็นคนถือกล้องพร้อมที่จะถ่ายและคุณสนธยา ก็ทันทีเหมือนกัน รีบประกบยืนข้างเธอภายในเสี้ยววินาที เมื่อถ่ายเสร็จผมก็ให้คุณสนธยา ถือกล้องของผมถ่ายเธอที่ยืนคู่กับผม เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกัน ทันทีที่ถ่ายเสร็จด้วยมรรยาท ก็เอ่ยปากขอบคุณเป็นภาษาอังกฤษ ถึงแม้นว่า เธออาจจะฟังไม่ออก แต่ด้วยกิริยาที่นุ่มนวล ของพวกเราก็แสดงให้เห็นว่าเรามีความสุขที่ได้ถ่ายรูปกับสาวน้อยรายนี้ และผมคิดว่า เธอก็มีความสุขเช่นกันที่ได้ถ่ายรูปกับพวกเรา ผมสังเกตจากสีหน้าท่าทางของเธอ ที่ยิ้มแถบไม่หุบ และเธอเป็นจุดเด่น เพราะชาวเช็กที่ยืน คอยรถราง ก็ส่งสายตามามองเธอแถบจะไม่วางเช่นกัน ซึ่งเป็นธรรมดาของหญิงสาว ที่ต้องมีความภาคภูมิใจ ที่มีชาวต่างชาติมายืนถ่ายรูปคู่ ซึ่งแสดงให้ว่า ถ้าเธอขี้เหร่ ก็จะไม่มีใครมาขอถ่ายรูปกับเธออย่างเด็ดขาด แต่นี่ มีคนต่างชาติมาขอถ่ายรูปคู่กับเธอ เธอจะต้องเป็นคนพิเศษ ครับ ผมมีความรู้สึกเสียดาย ที่ผมไม่สามารถส่งภาษาคุยกับเธอได้ ถ้าผมคุยกับเธอได้ผมจะถามเธอทุกเรื่องที่เธอจะตอบได้ ตั้งแต่ คำถามพื้น ๆ ว่า หนาวไหมครับ เรียนอยู่ชั้นไหน รู้จักเมืองไทยไหม ถ้าผมชวนมาเที่ยวไทยจะมาไหม และคำถามที่จะขาดไม่ได้ผมจะถามว่า มีแฟนรึยัง ครับ แหม... วกเข้าตรงนี้จนได้
หลังจากที่ผมได้มีโอกาสได้ถ่ายรูปกับสาวเช็ก ที่อยู่ในวัยขบเผาะแล้ว คราวนี้ผมก็มีโอกาสได้ถ่ายรูปกับ สาวออสเตรีย ที่เมืองกินซิงส์ เมืองนี้เป็นเมืองที่มีอาหารพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงมาก ชนิดที่เรียกว่า คนระดับผู้นำอย่างเช่น ประธานาธิบดีบิลคลินตัน ผู้นำประเทศสหรัฐอเมริกา และ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำประเทศรัสเซีย ก็เคยแวะเวียนมาทานอาหารที่ร้านนี้แล้ว เอาเป็นว่าในรายละเอียด ผมจะนำมาเล่าให้ฟังอีกครั้ง แต่ตอนนี้พูดเรื่องสาว ๆ ชาวออสเตรียก่อนครับ
พลันที่ผมและคณะทานอาหารพื้นเมืองและฟังดนตรีพื้นเมืองเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะเดินออกมาภายนอกร้าน แต่ก็ต้อง ชะงัก เพราะข้างนอกมีหิมะตก ผมหันกลับก็เจอกับคุณเปี๊ยก ที่ยืนอยู่ด้านหลังผม คุณเปี๊ยกกระซิบผมว่าคุณแก้วถ่ายรูปซิ ผมก็ถามกลับไปว่าเขาจะให้ถ่ายรึ คุณเปี๊ยกบอกว่า ให้ถ่าย เอ้าอย่างนั้นคุณถ่ายก่อน ดูเหมือนว่า สาวออสเตรีย ฟังการสนทนาภาษาไทยของเรารู้เรื่อง คุณเปี๊ยกพลันหันไปยิ้มส่งสายตาให้ และก็โน้มตัวไปที่ตู้โชว์ อาหาร แล้วหัวของคนทั้งสองก็เกือบจะชนกัน ผมก็เอามั้ง คราวนี้ให้คุณเปี๊ยก เป็นตากล้องถ่ายภาพให้ผม ผมยิ้มแก้มแทบปริ ผมพยายามยื่นตัวให้ใกล้ชิดที่สุด เท่าที่จะทำได้ แบบไม่อนาจาร หญิงสาวชาวออสเตรียคนนี้ เมื่อดูรูปร่างน่าตาของเธอแล้ว อายุประมาณ 40 ขึ้น แต่เธอก็สวยดูดีสมวัย ผมว่าผู้หญิงเรื่องอายุดูง่ายครับ เพราะดูจากต้นแขน หน้าผาก และตีนกา ก็พอประมาณอายุกันได้ แต่เมื่อดูตัวเองทีไร อายุ 30 ปี ทุกที แหม ใครมันจะบอกว่าตัวเองแก่ ใช่ไหมครับ
ถ่ายรูปกับสาวเช็ก และสาวออสเตรีย คนสวยแล้ว คราวนี้ก็มาถึงสาวเยอรมัน ผมและคณะได้เดินทางไปถึงเมืองมิวนิก เยอรมัน ในขณะที่ผมกับคณะเดินลงไปชมความสวยงามของเมืองแล้ว ก็มานั่งรอรถของเจ้าเจอร์รี่ ในขณะที่ผมกำลังหันรีหันขวางอยู่นั้น สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นสาวน้อยชาวเยอรมัน สูงโปร่ง ขาวสวย ผมสีทอง นัยน์ตาสีฟ้า ยืนมองหาใครสักคน แต่คงไม่ใช่ผมอย่างแน่นอนครับ เธอสวมชุดสีแดง ตัดกับสีผิวที่ขาวสะดุดตา เธอก็แอบชำเรืองดูผมเหมือนกัน ว่าผมจะมาไม้ไหน ผมเริ่มร้องบอกน้องสมาย ซึ่งเป็นช่างภาพของสถาบัน ที่ยืนอยู่ใกล้ผม ให้รีบถ่ายรูปให้ผมด้วย ผมทำหน้าพยักพเยิด ส่งภาษาใจ ผ่านดวงตาที่แผงด้วยความจริงใจและวิงวอน ขอให้เธอถ่ายรูปคู่กับผม และผมก็จำไม่ได้ว่า ผมได้พูดอะไรออกไปมั่ง จนทำให้เธอยอมมายืนถ่ายรูปคู่กับผม น้องสมาย ก็รู้ใจผม รีบกดชัทเตอร์ อย่างฉับไว ไม่ถึง 20 วินาที ผมก็ได้รูปเธอมายืนเคียงข้างแล้ว ยังไม่ทันที่ผมจะพูดขอบคุณ เธอก็รีบวิ่งไปขึ้นรถยนต์ BMW สีแดง ที่จอดรอเธออยู่ และเมื่อเธอขึ้นรถ รถคันหรูก็พาเธอออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว จนรถคันนั้นหายลับ พ้นเหลี่ยมตึก อย่างชนิดที่ผมอาลัยเธอมากที่สุด ทั้ง ๆ ที่ใจก็อยากจะพูดคุยกับเธอ แม้นว่าเราจะสื่อภาษากันไม่รู้เรื่องก็ตามที |