กินแล้ว...ไม่ต้องซิ่ง
ณรงค์ ชื่นนิรันดร์
22 กุมภาพันธ์ 2552
ต้องบอกว่าการเดินทาง ในกลุ่มประเทศยุโรป เราแทบไม่ทราบว่าเราอยู่ประเทศใด เพราะการเดินทางเข้าประเทศโดยทางรถยนต์ ไม่มีการผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งเขาเรียกวิธีการเข้าเมืองแบบนี้ว่า การทำวีซ่าแบบเชงเก้นท์ หมายถึงการทำวีซ่า ครั้งเดียวท่านสามารถเดินทางเข้าประเทศในยุโรปได้ทุกประเทศ แต่การตรวจวีซ่าจะมีเพียง 2 ครั้งเท่านั้นนะครับ คือ เมื่อเราลงจากเครื่องบิน กับการขึ้นเครื่องบิน เพื่อเข้าประเทศและออกจากต่างประเทศเท่านั้น
วันนั้นผมนั่งรถทัวร์มาถึงเมือง มิโคลอฟ ซึ่งเป็นเมืองสุดท้ายของประเทศเช็ก เวลา ประมาณ 6 โมงเย็น ซึ่งก็ดูมืดค่ำ ราวกับเวลา 3 ทุ่ม อากาศที่นี่ค่อนข้างแปรปรวน หิมะเริ่มตกหนัก จนมีรถเกรดหิมะ ออกมากวาดหิมะในถนนที่เดินทาง รถยนต์เริ่มติด แต่ก็ไม่นานนัก ไกด์เฮียฮ้อหัวเถิก ชี้ให้เราดูข้างทาง และบอกว่า ที่เห็นเป็นอาคารร้างนั้นคือ ที่ทำการด่านตรวจคนเข้าเมืองของ สาธารณรัฐเช็ก ตอนนี้เมื่อมีการทำวีซ่าแบบเชงเก้นท์ ด่านตรวจคนเข้าเมืองก็ไม่มีความจำเป็น การเข้าประเทศในยุโรป จึงเหมือนกับการเดินทางข้ามจังหวัด ในประเทศไทยเท่านั้น ที่ใครจะเดินทางไปไหนมาไหนก็ได้ ผมนั่งคิดอยู่ในใจ ถ้าเป็นบ้านเราคงไม่ได้แน่ เพราะสภาพเศรษฐกิจแตกต่างกัน ถ้าเปิดโอกาสให้มีการเคลื่อนย้ายแบบไม่ตรวจสอบ ป่านนี้ผมว่าคนพม่าเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด และคงจะยึดประเทศไทยไปหมดแล้วนะครับ
และแล้ว เวลาประมาณ 1 ทุ่ม ผมและคณะก็เดินทางมาถึง เมือง GRINZING (กรินซิง) ประเทศออสเตรีย ท้องไส้เริ่มหิว หิมะเริ่มโปรยปราย ก็นับว่าเป็นความโชคดี ที่ผมได้เห็นหิมะ และได้สัมผัสกับความหนาวเย็น ผมต้องบอกท่านตรง ๆ ว่า ตลอดการเดินทางแม้นว่าข้างนอกจะมีหิมะตกตลอดทางและอุณหภูมิ 0 องศา ผมไม่หนาวเลย เพราะในรถยนต์มีฮีทเตอร์ คอยให้ความอบอุ่น ซึ่งการทำงานก็เหมือน แอร์ ในรถยนต์ ที่ให้ความเย็น นั่นแหล่ะครับ
ผมเดินลงจากรถ เพื่อเดินเข้าไปในภัตตาคารย่าน GRINZING ภัตตาคารแห่งนี้ ผมต้องบอกท่านว่า เป็นภัตตาคารที่มีชื่อเสียงมาก เพราะมีผู้นำระดับโลกมานั่งทานอาหารที่ร้านนี้ หลายคน อาทิ บิล คลินตัน, ลาดิเมียร์ ปูติน ,จอรจ์ บุช , และสันตะปาปา เบเนดิก ซึ่งทางร้าน ได้นำเอารูปมาติดไว้ที่ทางเข้าร้าน ขณะเดียวกัน ก็เอารูปไปติดไว้ในขวดไวน์ ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่า ติดเพื่อที่จะขายไวน์ หรือ ติดไว้เพื่อโชว์ หรืออาจจะเป็นเพียงการโปรโมทไวน์ ก็เป็นได้เพราะไวน์ที่ประเทศออสเตรียมีชื่อเสียงโด่งดัง ออสเตรีย ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการค้าไวน์ ของแม่น้ำดานูบ และแถบนี้เป็นพื้นที่อันเก่าแก่ ที่มีการปลูกไวน์มากกว่า 4,000 ปี โดยมีการพบเมล็ดองุ่นอยู่ในโกศ ที่ใช้เก็บกระดูก ของมนุษย์ โบราณ และไวน์ขาว หรือ Dry Wine เป็นประเภทไวน์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด มีการผลิตไวน์ ถึง 70 %
เมื่อเราเดินเข้ามาในร้าน ดูแล้วก็ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก เป็นร้านชั้นเดียว โต๊ะเก้าอี้ที่ใช้นั่งรับประทานอาหาร ก็เป็นโต๊ะไม้ ธรรมดา ไม่ใหญ่โตมากนัก เท่าที่เห็นมีนักท่องเที่ยวชาวญี่ป่นนั่งรับประทานอาหารอยู่ก่อนและกำลังจะลุกออกจากร้านพอดี นั่งอยู่สักพัก ทางร้านก็เริ่มเสริฟอาหาร จานแรกที่วางอยู่แล้วคือ อาหารว่างครับ อันนี้ต้องบอกว่าว่างจริง ๆ แต่ก็มีซอส ใส่ไว้ในหลอด ที่คล้ายหลอดยาสีฟัน จากนั้น อาหารถ้วยแรกก็มาถึง คือ ซุปร้อน ๆ ใส่มาในถ้วยคล้ายถ้วยกาแฟ ที่มีหูจับ พร้อมกับสลัดผักชามใหญ่ และมีขนมปัง คล้ายกับขนมปังโฮลสวีท ต่อมาก็เป็นการเสริฟอาหารจานใหญ่ประกอบด้วย ฮอทดอก เนื้ออบหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ และ เนื้อไก่นึ่ง อีกจานหนึ่งเป็น มันบด น่าจะเรียกว่ามันนึ่งมากกว่า เพราะออกมาเป็นก้อน ๆ ถ้าบดจริง ๆ จะต้องละเอียด และจะต้องมีน้ำกิววี่ ราด จึงจะเรียกว่ามันบด อันนี้ผมเข้าใจว่า การกินมัน ก็อาจจะเป็นการกินแทนข้าว ที่ให้ คาโบไอเดรท เพราะออสเตรีย ปลูกข้าวไม่ได้ จะปลูกได้ก็มันนี่แหล่ะ ซึ่งมันเป็นพืชอายุสั้น ขณะที่เรากิน ก็จะมีนักดนตรีที่เล่นไวโอลิน กับ แอคคอเดียน 2 คน มาเล่นดนตรีให้พวกเราฟัง ก็เป็นบรรยากาศสนุกสนาน และก็เข้ากับคนไทยที่รักสนุกอยู่แล้ว เพลงเล่นได้อย่างสนุกสนานเร้าใจ แม้นว่าจะมีเครื่องดนตรีเพียง 2 ชนิดเท่านั้น ผมและเพื่อน ๆ ได้ออกมาเต้นรำ อย่างสนุกสนาน ไหน ๆ ก็มาถึงเมือง กินแล้วซิ่ง ...อ้อ ... ขออภัยท่านผู้ชม เมืองกรินซิง ก็อย่าให้เสียชื่อ เมืองเขา เมื่ออิ่มหนำสำราญได้เต็มที่แล้ว พวกเราก็ขอถ่ายรูป กับนักดนตรี และที่สำคัญผมได้มีโอกาสถ่ายรูปคู่กับสาวออสเตรีย ตอนแรกก็เก้ ๆ กัง ๆ เพราะผมพูดภาษาออสเตรียไม่เป็น แต่ก็อย่างว่าแหล่ะครับ ยังมีอีกสองภาษาที่ผมพอจะมีความสามารถอยู่ คือ ภาษาตา กับภาษาใบ้ ครับ ผมส่งภาษาตาก่อน โดยสายตาผมเพ่งไปที่สาวออสเตรียที่ยืนอยู่ในร้าน เธอก็มองมาที่ผม คล้ายกับจะบอกว่า เอายังไงดีค่ะ พลันสายตาของผมก็บอกเขาไปว่า อยากจะถ่ายรูปด้วย เธอเริ่มขยับ แสดงออกว่ายินดีที่จะให้ถ่ายรูปด้วย ผมไม่รอช้าส่งกล้องให้เพื่อนทันที และผมก็เข้ายืนประชิดแก้มแทบจะชนกัน ดังในภาพ เออ...นี่หล่ะน้าภาษาตา เป็นแบบนี้นี่เอง และก็กล่าวคำขอบคุณเธอเป็นภาษาอังกฤษ ว่า Thank You ซึ่งคำนี้เธอคงเข้าใจ จากนั้นผมก็เดินออกจากร้าน สัมผัสหิมะและไอหนาวอีก 2 คืน และคืนนี้ผมจะเข้าพักที่โรงแรม Roomz Hotel ห้อง 426 ที่บอกเบอร์ห้อง ไม่ได้จะให้สาวออสเตรียไปนอนด้วยนะครับ เพียงแต่คาดหวังว่า เวลาฝัน สาวออสเตรียจะได้เข้าห้องถูก ก็เท่านั้น แหล่ะคร้าบ...แฮ่
* * * * * * * * * * * * * * * * * |