ความสูญเสีย...แผลลึกในใจ โดยณรงค์ ชื่นนิรันดร์ ผู้สื่อข่าว 8 ว. 19 พ.ย.49
บ้านแตกสาแหรกขาด คนบริสุทธิ์ถูกเข่นฆ่ารายวัน อย่างไม่มีเหตุผล บ้านเรือนถูกเผา ทหาร ตำรวจถูกลอบโจมตี นั่นเป็นเหตุการณ์รายวันที่เกิดขึ้น ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และนับวันจะมีเหตุการณ์รุนแรงมากขึ้น
คราบน้ำตา ไม่เคยหืดแห้ง คนร้ายลงมือปฏิบัติการอย่างอุกอาจ ไม่เกรงกลัวต่อบาปบุญคุณโทษ ลอบฆ่าคนชราที่ไม่มีทางสู้ เย็นวันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2549 ลุงนำ ศรีพลอย ผู้มีอายุ ล่วงเลย ถึง73 ปี พาสังขาร ที่ยังแข็งแรง ต้อนวัว กลับจากการนำไปเลี้ยงที่ชายป่า ท้ายบ้านยุโป เป็นปกติเหมือนกับวันก่อน ๆ ที่ลุงนำ เคยทำมาเป็นกิจวัตร เหตุการณ์ที่ ลุงนำ ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อมีวัยรุ่นสองคน ลงจากรถจักรยานยนต์ เดินตรงปรี่เข้าหาลุงนำ อย่างไม่เป็นมิตร แต่ลุงนำ ก็ไม่เอะใจ ว่าจะเกิดภัยร้ายแรงถึงชีวิต เพราะตั้งแต่เกิดมาจนชราภาพ ไม่เคยมีเรื่องราวกับใครในหมู่บ้าน ทุกคนล้วนเป็นมิตร แม้นว่า บ้านยุโป จะมีคนต่างศาสนิกอยู่ร่วมกัน ทั้งพุทธ มุสลิม ก็อยู่อย่างสันติมาอย่างยาวนาน ไม่เคยชิงชัง เครียดแค้นแตกแยก แต่มาระยะหลัง ๆ มีการลอบฆ่าผู้บริสุทธิ์ เป็นรายวัน ไม่เลือกว่าผู้นั้นจะเป็นผู้นับถือศาสนาใด คนชรา เด็ก หรือสตรี ลุงนำ ไม่เคยคิดเลยว่า วันนั้นจะมาถึงตัวเอง
วัยรุ่น สองคน ตรงปรี่เข้าหาลุงนำ ในระยะประชิด ก่อนที่จะชักปืนลั่นไกยิงใส่ ลุงนำ อย่างเลือดเย็น ราวกับแค้นเคืองมานานนับสิบปี ลุงนำล้มลง อย่างหมดทางสู้ พรางก็พนมมือร้องขอชีวิต แต่โจรในคราบวัยรุ่นอำมหิต ก็ไม่ปราณี กลับเหนี่ยวไกยิงอย่างไม่ยั้ง จนลุงนำ สิ้นใจอย่างทุกข์ทรมาน
โจรใจร้าย ยังลงมือหยิบน้ำมันที่เตรียมมา ราดลงบนร่างไร้วิญาณ ของลุงนำ ก่อนที่จะจุดไฟเผาซ้ำ อย่างไม่ปราณี หากลุงนำ พูดได้จะต้องถามว่า ลุงนำ ผิดอะไร ทำไมต้องทำกับลุงนำ ขนาดนี้ พูดกันดี ๆ ไม่ได้หรือ ลุงไปทำอะไรผิด ลุงขอโทษ ถ้าทำผิด แต่วิญญาณของลุงนำ ไม่สามารถสื่อสารถึงโจรใจร้ายได้
แต่การกระทำของคนร้ายก็ไม่ลอดพ้นสายตา ของเพื่อนบ้าน ที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ จนโจรขี้ขลาด เผ่นหนี ราวกับสุนัขที่ลอบกัด ผู้บริสุทธิ์ ขอให้วิญาณลุงนำสู่สุคติ และให้อภัยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากเวรกรรมมีจริง ขอให้พระเจ้าลงโทษผู้นั้นอย่างสาสม อย่าได้ผุดได้เกิด กับการกระทำที่โหดเหี้ยมผิดมนุษย์
บ้านยุโป อยู่ในตำบลยุโป อยู่ห่างจากอำเภอเมือง จังหวัดยะลา เพียง 15 กิโลเมตร ประชากรที่อยู่อาศัยมีทั้งชาวพุทธและชาวมุสลิม พี่น้องในพื้นที่ต่างรักใคร่กันดี แต่มาช่วงหลัง ๆ มีการลอบยิงลอบฆ่าอยู่บ่อยครั้ง จนชาวบ้านไม่เป็นอันทำงาน ต่างคนต่างอยู่ หวาดระแวงซึ่งกันและกัน โดยชาวบ้านตาดำ ๆ ไม่รู้ความประสงค์ของคนร้ายว่าต้องการอะไร ฆ่าผู้บริสุทธิ์ไปทำไม เพราะตั้งแต่เกิดมาจนแก่เฒ่าก็ไม่มีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นเลย
ความห่วงใยของชาวบ้านยุโป ต่างหลั่งไหล ร่วมแสดงความเสียใจต่อครอบครัวศรีพลอย ที่ตั้งศพลุงนำ บำเพ็ญกุศลอยู่ที่วัดยุปาราม บ้านยุโป อันเป็นบ้านเกิดและเรือนตายของลุงนำ
เย็นวันที่ 19 พ.ย.49 รศ.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายปราโมช รัฐวินิจ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เป็น ผู้แทนรัฐบาลชุดแรกที่เดินทางเข้าไปเคารพศพลุงนำ ถึงในวัดยุปาราม ที่มีความเข็มงวดในการรักษาความปลอดภัยจากทหาร พลันที่ รศ.ธีรภัทร์ ไปถึง ก็ตรงเข้าโอบกอดภรรยาลุงนำที่อยู่ในวัยชรา ด้วยความเห็นใจ และเศร้าเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนในตระกูล ศรีพลอย ทุกคนที่นั่งอยู่หน้าหีบศพลุงนำ มีสีหน้าที่เศร้าสร้อย ไม่รู้อนาคตของตัวเอง ในขณะที่ลูกสาวของลุงนำ ลั่นวาจาถาม ด้วยเสียงสั่นเครือ ว่า "เขาฆ่าพ่อหนูทำไม พ่อไปทำผิดอะไร จนต้องทำกันขนาดนี้ ฆ่าแล้วยังไม่พอ ยังจุดไฟเผาอีก และไม่กี่ปี แกก็จะตายแล้ว " เสียงพูดของลูกสาวลุงนำ ร้องถาม รศ.ธีรภัทร์ และผู้ใหญ่ที่ติดตาม เป็นคำถามของลูกสาว ที่แสดงออกถึงความขุ่นข้องใจที่อยากจะตะโกนร้องถามคนเลือดเย็นมากกว่าที่จะถามรัฐมนตรี
แววตา รศ.ธีรภัทร์ ราวกับจะบอกว่า ถ้ามีมนต์วิเศษ ก็จะเสก ให้ลุงนำฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และให้อยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา กับครอบครัว ที่อบอุ่นตามประสานคนชนบท ที่อยู่อย่างเรียบ ง่าย พอเพียง และแววตาวิงวอนคนร้ายอย่าก่อเหตุเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ อีกเลย
รศ.ธีรภัทร์ นำพวงหรีดพวงโต เคารพศพ ลุงนำ และนั่งคุกเขาจุดธูป น้อมนำจิตอธิษฐาน ขอให้ลุงนำ ไปสู่สุขคติ
ก่อนเดินทางกลับ รศ.ธีรภัทร์ ได้หยิบไมค์ตัวเขื่องที่เราเห็นมาตั้งแต่เด็ก เป็นไมค์รูปทรงสี่เหลี่ยม เป็นที่คุ้นตาของผู้พบเห็น เพราะไมค์อันนี้ ส่วนใหญ่จะใช้ในเวทีโนรา และเป็นไมค์ที่ไม่มีขายตามท้องตลาดแล้ว และ รศ.ธีรภัทร์ ได้กล่าวกับชาวพุทธ ที่มาร่วมทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่ลุงนำว่า "รัฐบาลขอแสดงเสียใจต่อการจากไป รัฐจะเร่งสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว สร้างความเป็นในสังคมให้เกิดขึ้น"
หลังจากที่ พูดจบ อย่างไม่คาดคิด รศ.ธีรภัทร์ ตรงรี่ไปที่หญิงชรา ที่เป็นภรรยาของลุงนำ แล้วก็ก้มลงกราบที่ตักของหญิงชราผู้นั้น ขณะที่ ภรรยาลุงนำ เอื้อมมือทั้งสองที่สั่นเทา โอบกอดที่ไหล่ของรัฐมนตรี ราวกับว่าทั้งสองเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน นำความซาบซึ้งตรึงใจ มาสู่พวกเราอยู่ที่นั่น ทุกคนแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ที่ได้เห็นภาพตรงหน้า ที่คนระดับรัฐมนตรีประสำนักนายกรัฐมนตรี ก้มลงกราบที่ตักหญิงชรา ที่เป็นชาวบ้านธรรมดา แต่ก็ไม่ใช้เรื่องแปลก ที่ รศ.ธีรภัทร์ ได้ทำเช่นนั้น เพราะ รศ.ธีรภัทร์ เป็นผู้ที่มีความกตัญญูเป็นเลิศ ดั่งจะเห็นได้จากภาพข่าว ก่อนที่ รศ.ธีรภัทร์ จะเข้ารับตำแหน่ง ขณะที่ลงจากรถยนต์ ผู้เป็นมารดาได้หอมแก้ม ซึ่งเป็นที่ทำให้รู้ว่า ความผู้พันต่อผู้สูงอายุ ของ รศ.ธีรภัทร์ มีอยู่อย่างเต็มเปลี่ยม และนั่นเป็นตัวส่งให้ รศ.ธีรภัทร์ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีได้อย่างรวดเร็ว เพราะการแสดงออกเป็นการกระทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ จริงใจ เพราะหลังจากที่ก้มลงกราบ หญิงชราภรรยาลุงนำ รศ.ธีรภัทร์ เองก็แทบจะกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่ จากสีหน้า ที่เศร้าโศก และที่ปลายคางสั่นระริก เป็นอาการที่ รศ.ธีรภัทร์ สะกดน้ำตา ไม่ให้ไหลออกมาภายนอก แต่น้ำตาของลูกผู้ชายที่สูงใหญ่สมชายชาตรี กลับไหลตกลงกลางดวงใจ และเสียใจไม่แพ้ครอบครัวของผู้ที่จากไป |