ยุทธการแผ่นดินมืด น้ำท่วมเมือง เหตุที่ไฟใต้ไม่ดับ ตอนที่ 5 เครือข่ายขบวนการ ณรงค์ ชื่นนิรันดร์ ข้อมูลปี 2547
วางระเบิดกลางเมืองปัตตานี ในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังตรวจหาระเบิด ก็ได้รับแจ้งจาก รปภ.ของบริษัทเพชรมั่นคง จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานบรรจุแก๊สหุงต้มยี่ห้อ สยามแก๊ส ตั้งอยู่ที่ 152/2-3 ถนนเพชรเกษม เขตเทศบาลเมืองนราธิวาส ว่าพบกล่องต้องสงสัยว่าอาจเป็นวัตถุระเบิด พ.ต.ท. สุกิจ ขำมาก หน.ชุดเก็บกู้ระเบิด จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่เดินทางไปตรวจสอบทันที พบว่าเป็นระเบิดแบบแสวงเครื่องแบบเพาเวอร์เจลผสมปุ๋ยยูเรีย บรรจุในกล่องพลาสติก น้ำหนักประมาณ 10 กก. ตั้งอยู่บริเวณรั้วด้านหลังโรงบรรจุแก๊ส ที่มีถังแก๊สรอส่งให้ลูกค้าประมาณ 300 ถัง และใกล้กันมีถังเก็บน้ำมันดีเซล 10,000 ลิตรตั้งอยู่ด้วย โดยระเบิดใช้นาฬิกาปลุกเป็นตัวจุดชนวน ตั้งเวลาให้ระเบิดทำงานไว้ที่เวลา 12.00 น. เจ้าหน้าที่จึงรีบเคลียร์คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากบริเวณ แล้วทำการเก็บกู้เป็นผลสำเร็จ
โดยเจ้าหน้าที่เชื่อว่าคนร้ายต้องการให้ระเบิดเป็นชนวนในการทำให้แก๊สจำนวน 300 กว่าถังระเบิดขึ้นพร้อมกับถังบรรจุน้ำมันดีเซล 10,000 ลิตร ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาล สำหรับโรงบรรจุแก๊สดังกล่าวเป็นของ นายสุกิจ สุวรรณพยัคฆ์ ซึ่งเป็นเศรษฐีรายใหญ่ของ จ.นราธิวาส
ต่อมาในเวลาไล่เลี่ยกัน เจ้าหน้าที่ชุดเดิมได้รับแจ้งจาก รปภ.ของสำนักงานเทศบาลเมืองนราธิวาส ว่ามีผู้พบเห็นชาย 2 คนนำกล่องต้องสงสัยว่าอาจเป็นวัตถุระเบิด ไปทิ้งไว้บริเวณริมรั้วติดกับหอประชุมอาคารประวิช-สุคนธา ซึ่งเป็นหอประชุมของสำนักงานเทศบาลเมืองนราธิวาส ตั้งอยู่หลังศาลากลางจังหวัด จึงรุดไปตรวจสอบยังที่เกิดเหตุทันที พบว่าเป็นระเบิดแสวงเครื่องแบบเดียวกับที่ปั๊มน้ำมันคาลเท็กซ์กับที่โรงงานบรรจุแก๊สดังกล่าว โดยระเบิดถูกตั้งเวลาให้ทำงานที่เวลา 12.00 น. เช่นกัน เจ้าหน้าที่ใช้เวลาเก็บกู้ประมาณ 30 นาทีจึงสำเร็จ
สำหรับในอาคารประวิช-สุคนธาที่เป็นเป้าหมายของการวางระเบิดนั้น ในขณะที่เจ้าหน้าที่เก็บกู้ระเบิดอยู่นั้น มีการประชุมบรรดาผู้นำศาสนาอิสลาม ทั้งโต๊ะอิหม่ามและโต๊ะครู รวมประมาณ 500 คน ซึ่งหากไม่มีผู้พบเห็นและเกิดระเบิดขึ้น เชื่อว่าอาจเกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่อย่างแน่นอน
สำหรับกลุ่มผู้ประกอบระเบิดแสวงเครื่องแบบตั้งเวลาด้วยนาฬิกาปลุกนั้น รายงานข่าวแจ้งว่าเป็นฝีมือของ ขจก.ในขบวนการพูโลเก่าและพูโลใหม่ ที่มี ขจก.รุสรัน ยามูแรแน หัวหน้าฝ่ายก่อวินาศกรรม เป็นผู้ฝึกสอนให้สมาชิกของขบวนการมีความชำนาญ ซึ่งขณะนี้มีผู้ที่ชำนาญในการประกอบระเบิดชนิดนี้อยู่ 15 คน กระจายกันอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จังหวัดละ 4-5 คน เพื่อทำหน้าที่ประกอบระเบิด ส่วนระเบิดที่ใช้โทรศัพท์มือถือเป็นตัวจุดระเบิดนั้น เป็นฝีมือของเยาวชนในขบวนการแบ่งแยกดินแดนของกลุ่มครูสอนศาสนา หรือ "อุสตาซ" ที่ส่งเยาวชนผู้หลงผิดไปฝึกการประกอบระเบิดในอาเจะห์ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีผู้ที่ได้รับการฝึกสำเร็จกระจายกันอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ จ.สงขลา รวมประมาณ 30 คน ซึ่งหน่วยข่าวกรองและสันติบาลกำลังตรวจสอบรายชื่อของคนร้ายทั้งสองกลุ่มอยู่
ประชุมโต๊ะครู ที่ห้องประชุมโรงแรมซีเอส จ.ปัตตานี วันที่ 30 สิงหาคม 2547 เวลา 10.00 น. พล.ต.ขวัญชาติ กล้าหาญ รองแม่ทัพภาคที่ 4 และ พล.ต.ต.ธานี ทวิชศรี รอง ผบช.ภ.9 ได้เรียกประชุมโต๊ะครู เจ้าของโรงเรียนสอนศาสนาหรือ ปอเนาะ และครูผู้ช่วยในพื้นที่ จ.ปัตตานี 200 คนเศษ เพื่อชี้แจงและสร้างความเข้าใจระหว่างภาครัฐ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ กับโต๊ะครูและครูสอนศาสนาในแต่ละโรงเรียน เนื่องจากสถานการณ์ในขณะนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ครูสอนศาสนาส่วนหนึ่งเป็นผู้บงการให้เกิดความรุนแรง จึงขอให้โต๊ะครูและครูผู้ช่วยซึ่งเป็นเจ้าของโรงเรียน ได้เข้าใจในปัญหาที่เกิดขึ้น และให้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐในการแก้ปัญหา
พล.ต.ต.ธานี ได้ยอมรับว่า ขบวนการที่มีครูสอนศาสนาเป็นผู้นำเหล่านี้ มีการเชื่อมโยงกับกลุ่มขบวนการต่าง ๆ ในต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งในทางปฏิบัติทางประเทศมาเลเซียได้ให้ความร่วมมือกับฝ่าย เราเป็นอย่างดี แต่บางเรื่องบางประเด็นเราจะต้องหาวิธีการในการแก้ปัญหาเอง เพราะมาเลเซียมีข้อจำกัดในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเชื้อชาติและศาสนา ในขณะเดียวกันมาเลเซียก็ไม่ส่งเสริมให้มีการก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของเรา เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นมีผลกระทบกับ รัฐกลันตันและตรังตานูของประเทศมาเลเซียเช่นกัน ดังนั้นการแก้ปัญหาต้องรอบคอบ ขณะนี้มีการแยกคนในพื้นที่ออกเป็น 3 กลุ่ม ๆ แรกคือมวลชนที่เป็นของรัฐ กลุ่มที่สองคือกลุ่มโจรและประชาชนที่เป็นแนวร่วม และกลุ่มที่สามคือกลุ่มที่ไม่เป็นฝ่ายใคร ซึ่งกลุ่มนี้จะต้องระมัดระวังป้องกัน เพราะหากเจ้าหน้าที่ทำงานและมีเงื่อนไขเกิดขึ้น ฝ่ายตรงกันข้ามจะนำไปเป็นข้อโจมตีและโฆษณาชวนเชื่อ ถ้าคนกลุ่มนี้หันไปสนับสนุน กลุ่มขบวนการโจรก่อการร้าย จะทำให้สถานการณ์ ของจังหวัดชายแดนยุ่งเหยิงยิ่งขึ้น
จุฬาราชมนตรีสัมมนาผู้นำศาสนา ทางด้านนายสวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ จุฬาราชมนตรี ได้เดินทางมาเป็นประธานการสัมมนาคณะ กรรมการอิสลามจำนวน 33 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้ทราบถึงนโยบายของรัฐในการส่งเสริมการศาสนาอิสลาม และให้ผู้เข้าสัมมนามีความเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยนายสวาสดิ์ กล่าวว่า อย่าเอาเรื่องศาสนามาเป็นความขัดแย้ง และสร้างสถานการณ์ อย่ามองว่าคนที่พูดไทยไม่ได้เป็นพลเมืองชั้นสอง ส่วนบรรดาอุสตาซที่หลงผิด ที่ถูกระบุว่าเป็นผู้ก่อเหตุร้ายนั้น เป็นเพียงผู้ที่ถูกกล่าวหาจากเจ้าหน้าที่รัฐ ถือว่าทุกคนยังเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าศาลสูงจะตัดสินว่าผิด
ค้นโรงเรียนธรรม ฯ ส่วน พ.อ.วิชาญ สุขสง ผบ.ฉก.ยะลา ร่วมกับ พ.ต.อ.เอกภพ ประสิทธิวัฒนชัย ผกก. สภ.อ.เมืองยะลา แบ่งกำลังเป็น 2 สายเข้าตรวจค้นโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ ต.สะเตง อ.เมือง จ.ยะลา พร้อมควบคุมตัวครูสอนศาสนา 2 คน ชื่อนายหามะ เจ๊ะเต๊ะ อายุ 37 ปี และนายแวสือแม มะมิง อายุ 42 ปี อีกสายเข้าตรวจค้นโรงเรียนสอนศาสนาตาร์เบียตุลวาตันมูลนิธิ ต.บันนังสาเร็ง อ.เมือง จ.ยะลา พร้อมควบคุมตัวนายอับดุลวาฮับ ดาตู อายุ 40 ปี เจ้าของโรงเรียน มาทำการสอบสวนที่กองทัพภาคที่ 4 ส่วนหน้า เนื่องจากกองทัพภาคที่ 4 ส่วนหน้า ได้ทำการสืบสวน จนแน่ชัดว่าบุคคลทั้งสามคนเกี่ยวข้องกับการปลุกระดมเยาวชนในโรงเรียนสอนศาสนาให้มีแนวคิดในการแบ่งแยกดินแดนสาม จังหวัดชายแดนภาคใต้
มาเลเซียร่วมมือ รายงานข่าวแจ้งว่าเจ้าหน้าที่ได้หลักฐานจากรัฐบาลมาเลเซียที่ได้ควบคุมตัวนายอิสมาแอ บอซู ผู้ที่ถูกระบุว่าเป็นผู้แปลคัมภีร์บิดเบือนเพื่อใช้เป็นเครื่องมือปลุกระดมผู้คนในสามจังหวัดชายแดนให้แบ่งแยกดินแดน โดยทางการมาเลเซีย ได้อนุญาตให้ตัวแทนของ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร รมว.กลาโหม เข้าซักถามนายอิสมาแอ ได้ โดยนายอิสมาแอ ได้ให้การว่า ร่วมกับเจ้าของโรงเรียนและครูสอนศาสนาในประเทศไทย ทำการเขียนคัมภีร์บิดเบือนข้อความดังกล่าวจริง โดยนายอิสมาแอ บอซู ได้บันทึกคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษร และลงชื่อเป็นหลักฐาน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ไทย ใช้ในการเป็นหลักฐานมัดตัวผู้ร่วมขบวนการ
แม่ทัพภาคที่ 4 อิสมาแอ สารภาพ ต่อมา พล.ท.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี กล่าวถึงความคืบหน้าในการสอบสวนเจ้าของโรงเรียนและครูสอนศาสนาทั้ง 3 คนว่า นายอับดุลวาฮับ ได้ยอมจำนนต่อหลักฐาน รับสารภาพว่า เป็นผู้ร่วมกับนายอิสมาแอ แปลคัมภีร์ดังกล่าว เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการปลุกระดมเยาวชนในโรงเรียนสอนศาสนาจริง.
สำหรับความคืบหน้าที่กองทัพภาคที่ 4 ส่วนหน้า ได้ควบคุมตัวครูสอนศาสนาจาก โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ 3 คน และจากโรงเรียนตาร์เบียตุลวาตันมูลนิธิ 1 คน มาสอบสวนขยายผลในข้อหาเป็นผู้ปลุกปั่นยุยงให้มีการแบ่งแยกดินแดน โดยใช้คัมภีร์บิดเบือนเป็นเครื่องมือ ตามเอกสารที่เจ้าหน้าที่ยึดได้ชื่อว่า "บีจีฮัต ดิ ปัตตานี" โดยล่าสุดนายอับดุลวาฮับ ดาตู หรือ บาบอวาห์ฮับ เจ้าของโรงเรียนตาร์เบียตุลวาตันมูลนิธิ ได้ให้การเพิ่มเติมว่า ผู้ที่ชักชวนพวกตนไปพบกับนายอิสมาแอ บอซู หรือเปาะซู ซึ่งมี ชื่อจริงว่า นายอิสมาอิล จาฟาร์ ที่ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นผู้แปลคัมภีร์บิดเบือนก็คือ นายสะ มะแอ ระยะหลง หรืออุสตาซโซ๊ะ ซึ่งเป็นครูสอนศาสนาในโรงเรียนของตน
นอกจากนั้นเปาะซูยังได้นำไปฝึกวิชาอยู่ยงคงกระพันที่สุสานแห่งหนึ่งใน ต.กัวลาตีฆอ รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย และฝึกการใช้อาวุธในหุบเขาที่ทำเป็นสนามฝึก โดยฝึกตั้งแต่ขั้นที่ 1 ถึงขั้นที่ 4 จึงจบหลักสูตร และหลังจากเหตุการณ์ 28 มิ.ย. ที่มีเยาวชนเสียชีวิตจำนวนมาก ตนก็ไม่สบายใจ และเห็นว่าเป็นวิธีการที่ผิดหลักศาสนาอิสลาม เมื่อทางแม่ทัพภาคที่ 4 นำตัวมาซักถาม และขอความร่วมมือ ตนจึงได้บอกความจริงให้ทราบ และจะช่วยเหลือบ้านเมืองในการแก้ปัญหาการหลงผิดของเยาวชน ส่วนในโรงเรียนของตนเอง หลังเกิดเหตุร้ายขึ้นได้มีการเข้มงวดห้ามนักศึกษาปอเนาะเชื่อในคัมภีร์ดังกล่าวแล้ว
พบใบปลิวห้ามใกล้ทหาร ตำรวจ ขณะที่ทางหน่วยข่าวในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ตรวจสอบในทางลึกกรณีที่พบใบปลิวมีข้อความเป็นภาษาไทยและมลายู ทั้งอักขระยาวีและรูมี ซึ่งมีการแจกจ่ายไปทั่วพื้นที่ จ.ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ซึ่งมีข้อ ความว่า "หยุดเข้าใกล้ทหาร ตำรวจ อย่าเป็นเครื่องมือ อย่าให้ความร่วมมือกับพวกมัน มิฉะนั้นท่านจะไม่ปลอดภัย" โดยจากการตรวจสอบล่าสุดเชื่อว่าน่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มขบวนการ ที่ก่อเหตุเมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่ต้องการปลุกระดมให้ประชาชนเกิดความเกรงกลัวและหวาดระแวง เพื่อยุติการให้ความร่วมมือกับทางราชการ
นายกประชุมหน่วยความมั่นคง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้เรียกประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคงทั้งหมดในเที่ยงวันนี้เพื่อทบทวนมาตรการในการแก้ไขปัญหาภาคใต้ใหม่หลังยังคงม ีการก่อเหตุอย่างรุนแรงโดยเฉพาะการทำวัตถุระเบิดมาใช้ จึงจำเป็นต้องเพิ่มมาตรการเชิงรุกเกี่ยวกับการเข้าตรวจค้นพื้นที่ต้องสงสัยมาดำเนินการให้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่อาจเกรงในเรื่องของปัญหาสิทธิมนุษยชนจึงไม่กล้าดำเนินการ และเพื่อให้การขยายผลสอบสวนเชื่อมโยงคดีเป็นไปอย่างมีประสิทธิ จึงให้เจ้าหน้าที่จากส่วนกลางไปเพิ่มเติมในพื้นที่ด้วย และจะมีการติดตั้งระบบดาวเทียม GPS ในรถยนต์และจักรยานยนต์ของเจ้าหน้าที่ทุกคันเพื่อใช้ติดตามเจ้าหน้าที่เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินเพื่อส่งกำลังเข้าไปช่วยเหลือได้ทัน ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงของการทดลองใช้
เชื่อเป็นฝีมือกลุ่มอาเจะห์ รายงานข่าวแจ้งว่าจากการสืบสวนถึงขบวนการที่ออกมาสร้างความวุ่นวาย ทราบว่ากลุ่มครูสอนศาสนาที่จบการศึกษาจากเมืองอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย จำนวน 200 คน เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังขบวนการแบ่งแยกดินแดน ได้รับการฝึกอบรมจากวิทยาลัยแห่งหนึ่งในอาเจะห์ สอนในเรื่องการแบ่งแยกดินแดนเพื่อปกครอง ตนเอง แบบเดียวกับที่อาเจะห์พยายามจะแยกตัวออกจากอินโดนีเซีย นอกจากนี้อุสตาซกลุ่มนี้ไม่มีการออกมารายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ ทุกคนยังคงเคลื่อนไหวก่อการร้ายเพื่อแบ่งแยกดินแดน โดยแบ่งการทำงานเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งเคลื่อนไหวในเมือง มีแนวร่วมให้ความร่วมมือ อีกส่วนหนีเข้าป่า เป็นกองกำลังติดอาวุธ เพื่อคอยก่อกวนสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้น สำหรับครูสอนศาสนาทั้ง 200 คนนี้ หน่วยข่าวทั้งของกองทัพภาคที่ 4 และอื่น ๆ อยู่ระหว่างการรวมรวมรายชื่อ ถิ่นที่อยู่ เพื่อที่จะได้ติดตามพฤติกรรมต่อไป
แหล่งข่าวจากชุดติดตามความเคลื่อนไหวของนายสะมะแอ ระยะหลง หรือ อุสตาซ โซ๊ะ ได้หลบมากบดานอยู่ในพื้นที่บ้านควนตานี ต.สำนักแต้ว อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งติดต่อกับชายแดนมาเลเซีย ด้านบ้านบูกิ๊ตกายูฮีตัม รัฐเคดาห์ มาเลเซีย สามารถเคลื่อนไหวติดต่อกับพื้นที่ ต.ประกอบ อ.นาทวี และ ต.เขาแดง อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีแนวร่วมของขบวนการเป็นจำนวนมาก ให้การช่วยเหลือให้ที่หลบซ่อน ขณะนี้หน่วยข่าวได้ส่งผู้ที่มีความชำนาญพื้นที่เข้าตรวจสอบสถานที่หลบซ่อนของอุสตาซโซ๊ะแล้ว และยังมีรายงานข่าวว่านายมะแซ อุเซ็ง ครูสอนศาสนาโรงเรียนสัมพันธ์วิทยา ที่เป็นหนึ่งในแกนนำวางแผนปล้นปืนของกองพันพัฒนาที่ 4 อ.เจาะ ไอร้อง เมื่อวันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมา ยังหลบซ่อนอยู่ในพื้นที่ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส โดยมีผู้มีอิทธิพลชื่อย่อว่า น. ให้ความช่วยเหลือ แหล่งข่าวคนเดิมยังระบุว่า นายมะแซ มีกำลังติดอาวุธที่ให้ความคุ้มครองอยู่ถึง 12 คน
* * * * * * * * * * * * * * * *
|