คาร์บอมบ์ที่โกลกรับนายกทักษิณลงใต้ 17 กุมภาพันธ์ 2548
ระเบิดที่โกลกตาย5ราย เวลา 19.30 น. วันที่ 17 ก.พ.48 พ.ต.อ.สุรศักดิ์ รมยานนท์ ผกก.สภ.อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส รับแจ้งเกิดเหตุระเบิดขึ้นบริเวณหน้าร้านพิกุล ซึ่งเป็นร้านขายเสื้อผ้า ตั้งอยู่ ในซอยภูธร ถนนเจริญเขต ติดกับโรงแรมมารีน่า ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว อยู่ห่างจากโรงพักประมาณ 500 เมตร จึงพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุด เก็บกู้ระเบิดไปที่เกิดเหตุ พบผู้เสียชีวิตคาที่ 4 รายตายที่โรงพยาบาลอีก 1 ราย และผู้บาดเจ็บอีกประมาณ 40 ราย มีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก ผู้ใหญ่ รวมทั้งนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวมาเลเซีย เจ้าหน้าที่จึงรีบ ลำเลียงส่ง รพ.สุไหงโก-ลก พร้อมทั้งได้กันผู้คนออกจากพื้นที่ เนื่องจากเกรงว่าจะมีระเบิดลูกที่2เกิดขึ้นอีก
จากการตรวจสอบเบื้องต้นทราบว่า คนร้ายนำระเบิดแสวงเครื่องซุกไว้ในรถเก๋งทำเป็น "คาร์บอมบ์" แล้วนำไปจอดไว้หน้าร้านพิกุล ก่อนจะจุดระเบิดด้วยโทรศัพท์มือถือจนรถเก๋งพังยับเยินไม่มีชิ้นดี แรงระเบิดยังสร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนและตัวอาคารต่าง ๆ เป็นรัศมีประมาณ 40 เมตร สำหรับเหตุวางระเบิดครั้งนี้ คล้ายกับเหตุการณ์ที่คนร้ายลอบวางระเบิดใต้รถเก๋งของ ผอ.สำนักกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 48 ที่ผ่านมา จึงเชื่อว่าเป็นฝีมือกลุ่มเดียวกัน.
ผบช.ภ.9ตรวจความเสียหาย เช้าวันที่ 18 ก.พ.48 พล.ต.ท.มาโนช ไกรวงศ์ ผบช.ภ.9 มาตรวจความเสียหายจากเหตุระเบิด "คาร์บอมบ์" ที่ข้างโรงแรมมารีน่า อ.สุไหงโก-ลก ส่งผลให้โรงแรมตั้งแต่ชั้นล่างจนถึงชั้นที่ 14 กระจกหน้าต่างแตกเสียหายหมด โดยเฉพาะห้องจัดเลี้ยงชั้น 3 เสียหายมากที่สุด นอกจากนี้อาคารพาณิชย์ที่อยู่ทั้งสองฝั่งเสียหายนับสิบคูหา รถยนต์ 7 คัน รถจยย. 10 คัน พังเสียหาย บางคันเจ้าของรถต่างจำสภาพรถของตนเองไม่ได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขนย้ายซากรถทั้งหมดไปเก็บไว้ยัง สภ.อ.สุไหงโก-ลก เพื่อให้เจ้าของหาหลักฐานมายืนยันต่อไป ในขณะที่ พล.ต.ขวัญชาติ กล้าหาญ รักษาการแม่ทัพภาคที่ 4 ได้เดินทางไปเยี่ยมปลอบขวัญคนเจ็บที่โรงพยาบาลสุไหงโก-ลก พร้อมทั้งมอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้นจำนวนหนึ่ง
แฉขั้นตอนโจรใต้บึ้มสนั่นเมือง พล.ต.ท.มาโนช กล่าวว่า เหตุระเบิดครั้งนี้ เป็นการก่อการร้ายครั้งร้ายแรงที่สุด ที่คนร้ายใช้ระเบิดคาร์บอมบ์สำเร็จ หลังจากที่เคยพยายามทำมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ไม่สำเร็จ จากการตรวจสอบรถยนต์ที่คนร้ายนำมาประกอบระเบิด เป็นรถเก๋งโตโยต้า โคโรลล่า รุ่นเก่า ที่ถูกโจรกรรมไปจากพื้นที่ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อกลางปี 2547 โดยคนร้ายได้นำระเบิดแสวงเครื่อง ที่ประกอบด้วย ไดนาไมต์ ปุ๋ยยูเรีย สะเก็ดระเบิด บรรจุในกระโปรงหลังของรถน้ำหนักประมาณ 100 กิโลกรัม เข้ามาจอดยังที่เกิดเหตุ ซึ่งก่อนที่ คาร์บอมบ์จะเข้ามาจอด คนร้ายได้วางแผนให้พรรคพวกนำรถปิกอัพนิสสัน เอ็นวี สีเขียว ขับเข้ามาจอดจองที่ดังกล่าวไว้ก่อน เนื่องจากวันนั้นโรงแรมมีงานแต่งงาน ผู้คนและรถราจึงพลุกพล่าน หลังจากที่คนร้ายขับรถที่ประกอบเป็นคาร์บอมบ์เข้ามาถึง คนขับรถนิสสัน เอ็นวี ก็นำรถออกทันที เพื่อให้รถเก๋งที่เป็นคาร์บอมบ์ เข้าไปจอดแทน จากนั้นคนที่ขับรถคาร์บอมบ์ได้ลงมาขึ้นรถเอ็นวี ออกจากที่เกิดเหตุได้ประมาณ 5 นาที จึงเกิดระเบิดขึ้น
"คาร์บอมบ์"2ครั้งแรกล้มเหลว มีรายงานว่า ก่อนหน้านี้ผู้ก่อการร้ายเคยประกอบ "คาร์บอมบ์" หวังก่อวินาศกรรมมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ไม่สำเร็จ โดยครั้งแรกใช้รถเก๋งโตโยต้ารุ่นเก่า ที่โจรกรรมมาใส่ไดนาไมต์ ปุ๋ยยูเรีย น้ำมันดีเซล ขับไปจอดทิ้งไว้ข้าง สภ.อ.เมืองปัตตานี เมื่อปี 2545 แต่เจ้าหน้าที่ตรวจพบเสียก่อน ส่วนครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2546 คนร้ายนำรถกระบะเก่า ๆ ใช้วิธีประกอบระเบิดแบบเดียวกัน นำมาวางไว้ที่หน้าโรงแรมมารีน่า อ.สุไหงโก-ลก เป็นเวลา 3 วัน โดยที่เจ้าหน้าที่ไม่สงสัยว่าเป็น "คาร์บอมบ์" แต่ระเบิดไม่ทำงาน เนื่องจากฝนตกหนัก ทำให้ดินเชื้อปะทุเกิดความชื้น และครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 และใช้โทรศัพท์เป็นตัวจุดชนวน ต่างกับสองครั้งแรกที่ใช้ตั้งเวลาโดยนาฬิกาปลุก
โจรลักรถนักข่าวไม่มีเอี่ยวบึ้ม สำหรับผู้ต้องสงสัยที่ตำรวจ สภ.อ.สุไหงโก-ลก จับกุมตัวได้หลังเกิดเหตุ คือนายฮาบีซา เจ๊ะดือเร๊ะ อายุ 21 ปี ชาวบ้าน ต.ปาเสมัส อ.สุไหงโก-ลก จากการสอบสวนพบว่า เป็นแก๊งลักทรัพย์ที่ได้ฉวยโอกาสตอนเกิดเหตุชุลมุนเข้าไปโจรกรรมรถยนต์ ฮอนด้า ซีวิค สีเหลือง ทะเบียน ฐ-0878 ซึ่งเป็นรถของผู้ช่วยผู้สื่อข่าวช่อง 7 สี และเจ้าหน้าที่จับกุมได้ขณะพยายามนำรถยนต์ข้ามพรมแดนไปยังประเทศมาเลเซีย ซึ่งจากการสอบสวนพบว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางระเบิดคาร์บอมบ์ในครั้งนี้
ตาย5ศพไหม้เกรียมไม่รู้ใคร สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น นอกจากกระจกอาคารโรงแรมมารีน่าจะแตกร้าวตั้งแต่ชั้นล่างถึงชั้น 14 แล้ว ร้านขายอาหาร และ อื่น ๆ จำนวน 5 คูหา ได้รับความเสียหายพังยับเยิน โดยเฉพาะสำนักงานมูลนิธิธารน้ำใจ สุไหงโก-ลก เสียหายมากที่สุด ส่วนผู้ที่เสียชีวิตคาที่จำนวน 4 ศพ แต่ละศพดำเป็นตอตะโก ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นศพของใคร ทราบชื่อเพียง 1 ศพ คือนายประกอบ โพธิพิพัฒน์ อายุ 21 ปี และต่อมามีผู้บาดเจ็บทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตที่ รพ.นราธิวาสราชนครินทร์ คือนายสันติชัย ไชยประดิษฐ์ อายุ 30 ปี รวมผู้เสียชีวิตขณะนี้จำนวน 5 ศพ ไม่ทราบชื่อ 3 ราย และบาดเจ็บ 39 ราย
รายชื่อผู้บาดเจ็บทั้ง39ราย ศูนย์นเรนทร กระทรวงสาธารณสุข รายงานชื่อผู้บาดเจ็บทั้ง 39 รายจากเหตุระเบิดข้างโรงแรมมารีน่า ที่รักษาตัวอยู่ รพ.สุไหง โก-ลก ทราบชื่อ นางสุดา หิ้วพงศ์ นายวอง ยกเซ็ง (มาเลเซีย) นางกัญญาภัทร โพธิกุดไชย น.ส.ฮาซีรา เจ๊ะอารง นางจันทนา สิงห์สาคร นางหนูไหน ยศรุ่งเรือง นายสมศักดิ์ ไชยมุสิก น.ส.สุรัตถา แซ่เฮ้ง นางฤทัย วงศ์สุมาลัย นายอรุณ รัตพันธ์ น.ส.ศิริพร ทองคณารักษ์ ด.ญ. ชนิสรา หิ้วพงศ์ นายเชี่ยวชาญ หิ้วพงศ์ ด.ช.ทัตพงศ์ หิ้วพงศ์ ด.ญ.ชลิสา หิ้วพงศ์ นายอนันต์ ดาโอ๊ะ นางรุจี สิริพงษ์ ศิลป์ นายชโลธร ปรีชาวุฒิเดช นางอำไพ จันทาพูล น.ส.สุภาพร กล้าศึก นายธวัชชัย ต๊ะหา นายสุชาติ พิพิธ นายสาเมือง เจ๊ะอามะ นายวัลลภ อุทยารัตน์ นายสมบูรณ์ พงษ์ธำรงค์ นางราตรี ทองรัศมี นายดือนัง รักอำนวยศิลป์ นางสมสาย ตาสา นางโสภิต แซ่ตัน นางอัญชลีพร ภมรเสน นายธีรยุทธ์ ศิริพงศ์สิน น.ส.พิมพ์ดาว พาสมบูรณ์ นางมยุรี สาระวารี น.ส.อรวรรณ สีจาง นายอวยชัย พันธ์สุวรรณ นางทติยาพร ราชูโส นายนูอารีมี เจ๊ะมะ นายวรกมล เอี่ยมท่า และนางจิราพา กูลเกื้อ
แจ้งเบาะแสคนร้ายให้1แสน พ.ท.อาคม พงศ์พรหม รักษาการ หน. ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพภาคที่ 4 ส่วนหน้า ได้ออกแถลงการณ์ กรณีคาร์บอมบ์ข้างโรงแรมมารีน่า กลางเมืองสุไหงโก-ลก ว่า กองทัพภาคที่ 4 ส่วนหน้า หน่วย ฉก.ทักษิณ ขอแสดงความเสียใจ และประณามคนร้ายที่มุ่งก่อความไม่สงบ โดยไม่เว้นต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ เพื่อให้สามารถจับกุมคนร้ายมาลงโทษโดยเร็ว จึงขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนผู้รักชาติ แจ้งเบาะแส กลุ่มคนร้ายดังกล่าว หรือที่ซุกซ่อนอาวุธ วัตถุระเบิด แหล่งผลิต ที่ใช้ก่อความไม่สงบกับเจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด หรือโทรศัพท์หมายเลข 1341 จะมีเงินรางวัล 100,000 บาท โดยจะมีการปกปิดผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ
"รุสลัน"ครูฝึกพูโลบงการเอง สำหรับกลุ่มผู้ที่ประกอบระเบิดในครั้งนี้ จากการสืบสวนในทางลึก เชื่อว่าเป็นการลงมือของ ขจก.รุสลัน ยามูแรแน ขจก.รุสดี เปาะเส้ง ขจก. บือราเฮง ยะห์ แกนนำของขบวนการพูโล โดยเฉพาะ รุสดี และ รุสลัน เป็นมือก่อวินาศกรรมระดับครูฝึกในขบวนการแบ่งแยก ดินแดน เชี่ยวชาญการประกอบระเบิด โดยแกนนำทั้ง 3 ราย ได้หลบหนีจากประเทศมาเลเซีย เข้ามาเคลื่อนไหวในพื้นที่แนวตะเข็บชายแดนไทย-มาเลเซีย กว่า 2 สัปดาห์ โดยพักอยู่ในโรงเรียนตาฎีกาแห่งหนึ่งในรัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย ห่างจากชายแดนไทยเพียง 1 กิโลเมตร ส่วนผู้ที่ขับรถคาร์บอมบ์มายังจุดระเบิด เป็นสมุนของนายมะแอ กำปงบูเก๊ะ สังกัดขบวนการมูจาฮีดีน อิสลามปัตตานี อยู่ที่ บ้านบูกิ๊ต อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส
สำหรับรถนิสสันเอ็นวี สีเขียว ที่เข้าไปจองที่จอดรถข้างโรงแรมมารีน่า เป็นรถของกลุ่ม ขจก. มะรูดี ปิยา แกนนำขบวนการพูโล ที่อยู่ใน อ.สายบุรี โดยรถนิสสันเอ็นวี คันดังกล่าว เป็นรถที่กลุ่มก่อการร้าย ได้ใช้ก่อเหตุยิงเจ้าหน้าที่มาแล้วหลายครั้ง ซึ่งในครั้งนี้ ขจก.มะรูดี ได้รวบรวมวัยรุ่น และนักเรียนปอเนาะกลุ่มหนึ่ง ที่ญาติพี่น้องถูกเจ้าหน้าที่จับกุม และถูกออกหมายจับมาฝึกให้เป็นหน่วยกล้าตาย เพื่อใช้ในการทำระเบิดคาร์บอมบ์ในครั้งนี้ โดยหน่วยกล้าตายชุดนี้ มีความแค้นเป็นส่วนตัวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐอยู่แล้ว ทำให้มีความห้าวหาญในการปฏิบัติการ
ผวาเหลือ"คาร์บอมบ์"อีก3คัน รายงานข่าวจากหน่วยข่าวกรอง แจ้งว่า ยังมีระเบิดในลักษณะคาร์บอมบ์ อีก 3 คัน ที่ประกอบแล้ว และมีเป้าหมายปฏิบัติการใน อ.ตากใบ อ.เมืองนราธิวาส และใน จ.ปัตตานี ซึ่งจะมีงานประจำปีสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวในวันที่ 20 ก.พ.48 นี้ จึงมีการแจ้งเตือนให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยเฝ้าระวังในการป้องกันการก่อวินาศกรรม
ก.พ.-เม.ย.80วันอันตราย มีรายงานข่าวว่า หน่วยข่าวกรองยังพบว่า ขบวนการมีแผนก่อการร้ายอย่างรุนแรงใน 80 วัน นับตั้งแต่เดือน ก.พ.-เม.ย.โดยใช้ชื่อว่า 80 วันอันตราย วิธีการคือการวางระเบิดในพื้นที่เป้าหมาย โดยใช้ความรุนแรง แบบเดียวกับในต่างประเทศ เพื่อยกระดับการก่อการร้ายให้เป็นสากล และให้เกิดความสูญเสียให้มาก เพื่อหวังยั่วยุให้เจ้าหน้าที่ล้อมปราบแกนนำที่เป็นครูสอนศาสนา ผู้นำศาสนา และประชาชนทั่วไป เพื่อให้เกิดการประท้วงขึ้นในหมู่ประชาชน เหตุการณ์ทั้งหมดจะถูกมองว่าเป็นการต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนเหมือนกับประเทศอื่น ๆ
คุมเข้มงาน"ลิ้มกอเหนี่ยว" ในขณะที่ พล.อ.สิริชัย ธัญญสิริ ผอ. กอ.สสส.จชต. เปิดเผยว่า ได้มีการสั่งการให้ กองกำลังทั้งหมดในพื้นที่สามจังหวัดระวังป้องกันเหตุร้ายที่เชื่อว่ายังจะต้องติดตามมาอีก ตามแผนของผู้ก่อการร้าย ซึ่งขณะนี้ได้ป้องกันอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังมีช่องว่างให้เกิดขึ้นจนได้ ในฐานะของ ผอ.กอ.สสส.จชต. ก็แสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่จะพยายามป้องกัน โดยเฉพาะในงานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวนั้น ได้มีการจัดกำลังป้องกันเหตุร้ายร่วมกับตำรวจ และฝ่ายปกครองอย่างเต็มที่แล้ว เชื่อว่าจะไม่มีคาร์บอมบ์ หรือเหตุร้ายเกิดขึ้นในงานอย่างแน่นอน
รปภ.พา"ทักษิณ"บินกลับ รายงานจากหน่วยข่าวกรองแจ้งว่า จากกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการเยือนพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16-18 ก.พ.48 แต่ก็ต้องบินมาช่วยงานการเมืองใน จ.อุบลราชธานี ในเย็นวันที่ 17 ก.พ. ทำให้การจัดพิธีต้อนรับของหลายหน่วยงานต้องยกเลิกนั้น เนื่องจากหน่วยรักษาความปลอดภัยของนายกรัฐมนตรี ได้รับทราบว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดน มีแผนในการลอบทำร้าย พ.ต.ท. ทักษิณ ด้วยการวางระเบิด และใช้เครื่องยิงระเบิด เอ็ม 72 ยิงถล่มเข้าใส่กรมทหารพรานที่ 41 ซึ่งเป็นที่พักแรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในคืนวันที่ 17 ก.พ. เจ้าหน้าที่เห็นว่ามีความเป็นไปได้ว่าอาจจะได้รับอันตราย รวมทั้งจะทำให้ประชาชนที่บริสุทธิ์ได้รับอันตรายไปด้วย คณะของ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องยกเลิกกำหนดการบินกลับกะทันหัน
"ทักษิณ"ชี้น้ำมือคนไทยด้วยกัน วันที่18 ก.พ.48 ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ระเบิดที่โรงแรมมารีน่า เมื่อคืนวันที่ 17 ก.พ.48 ที่ผ่านมา ว่า ก็อย่างที่ตนบอกไว้ว่ามันมีระเบิดเข้ามา ก็คงจะมีอยู่นิดหน่อย แต่สิ่งที่แย่คือที่เกิดระเบิดอยู่ใกล้กับร้านแก๊ส จุดนั้นเป็นซอยเล็ก ๆ และมีงานแต่งงานพอดี เลยมีคนบาดเจ็บจำนวนมาก เมื่อถามว่ามีเบาะแสอะไรหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า คงเป็นเรื่องที่พยายามกดดันฝ่ายเรา ในอดีตเราไม่ได้กดดันฝ่ายเขาเลย แต่เป็นฝ่ายตั้งรับมาตลอด ช่วงเวลา 2 วันที่ตนลงไปในพื้นที่ ก็ ได้เห็นอะไรมากขึ้น และได้ปรับแผนการทำงานหลายอย่าง คิดว่าจะให้เวลา1เดือนคงจะดีขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า แต่เหตุการณ์ครั้งนี้เหมือนกับสงครามกลางเมืองกลาย ๆ ไปแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ไม่ถึงขนาดนั้น เราก็รู้ความเกี่ยวพัน ไปดูที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่เก็บข้อมูลไว้ดี แต่ถ้าเราทำเราก็คงจะทำทั้งระบบ เมื่อถามว่าเป็นฝีมือของชาวต่างชาติหรือไม่ที่ทำครั้งนี้ นายกฯ กล่าวว่า ไม่ใช่ ไม่มีการโยงใยกับชาวต่างชาติ แต่เป็นคนไทย เรารู้ว่าเป็นลูกของคนที่ถูกออกหมายจับ
กำชับจนท.ทำงานเชิงรุกอีก "เหตุระเบิดครั้งนี้ก็ไม่ใช่คาร์บอมบ์ เขา ไม่ได้เรียกว่าคาร์บอมบ์ แต่เป็นเรื่องของการเอารถไปจอดไว้ และเอาระเบิดใส่ไว้ในรถ แต่ความร้ายแรงของระเบิดที่เกิดขึ้นเพราะจุดที่อยู่มีหม้อแปลงไฟฟ้าและร้านแก๊สอยู่ข้าง ๆ ซึ่งระเบิดไปโดนหม้อแปลงไฟฟ้าข้างบน แต่ตัวระเบิดเองก็ธรรมดา เราคาดการณ์อยู่แล้วว่าสิ่งเหล่านี้ยังมีอยู่ เพียงแต่เจ้าหน้าที่ยังไม่กล้าทำงานเชิงรุก ซึ่งการลงไปในพื้นที่เที่ยวนี้ ตนก็ได้เน้นย้ำอีกครั้งว่าจะให้เวลา 1 เดือนในการปรับแผนการทำงานทั้งหมด ส่วนแผนที่ปรับใหม่เป็นอย่างไรนั้น ไม่ขอบอก ซึ่งไม่ใช่ทำในลักษณะกำปั้นเหล็ก แต่จะเป็นวิธีการทำงานในเชิงสืบสวนสอบสวนเชิงรุกให้มากขึ้น 1 เดือนคิดว่าจะดีขึ้น หลังจากปรับแผนการทำงานแล้ว
ข่าวกรองแจ้งล่วงหน้ามีระเบิด พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวอีกว่า วันนี้การข่าวเราถือว่าเข้มแข็งขึ้น เพราะฝ่ายข่าวทุ่มเทเต็มที่ เราได้จ่ายค่าใช้จ่ายในทางข่าวไปมาก ซึ่งเขาได้แจ้งตนมาก่อนแล้วว่าช่วงนี้อาจมีระเบิดอีกหลายที่ แต่จะเป็นระเบิดที่ไม่ร้ายแรงอะไร ซึ่งเมื่อวันที่ 17 ก.พ.48 เขาก็ทำภาพจำลองให้ตนดู ซึ่งระเบิดที่เหลืออยู่ก็ไม่ถึงกับเยอะ แต่ยังหลงเหลืออยู่ เพราะเรานับดูที่ใช้ไปคิดว่ายังมีอยู่อีก อย่างไรก็ตามคิดว่าสถานการณ์คงไม่รุนแรง และเลวร้ายไปกว่านี้ แต่จะเป็นลักษณะนี้เท่านั้น ต่อไปเราจะพยายามดูในเมืองให้มากขึ้น เมื่อถามว่าจะเตือนประชาชนอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า วันนี้ส่วนใหญ่เราต้องระวังในเมืองมากขึ้นแต่ในอำเภอรอบนอกความเสียหายคงนิดๆหน่อยๆเท่านั้น
เมื่อถามว่า สาเหตุหลักของการก่อเหตุระเบิดเมื่อคืนเป็นเพราะอะไร พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า เขาต้องการให้เราหยุดตามจับเขา ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ คนพวกนี้ไม่ยอมมามอบตัวกับทางการอยู่แล้ว และเขายังประกาศพื้นที่ของเขาเองด้วยซ้ำว่าพื้นที่นี้เขาเอาชัยชนะได้แล้ว คนทั้งหมู่บ้านไม่กล้าเคลื่อนไหวและเป็นของเขาแล้ว ซึ่งเขาเรียกพื้นที่ที่เขาประกาศว่ายึดครองได้ว่าพื้นที่สีดำ ส่วนพื้นที่สีแดงที่เราประกาศก็มาจากข้อมูลที่เขาประกาศเช่นกัน แต่คนที่ไม่รู้ก็เอาไปพูดมาก
"แม้ว"ไม่ได้บินหนีจากภาคใต้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการออกจากพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก่อนกำหนดว่า ไม่ได้เป็นการทิ้งภารกิจกลางคัน เพื่อไปหาเสียงที่ จ.อุบลราชธานี เมื่อเย็นวันที่ 17 ก.พ.48 ที่ผ่านมา เพราะความจริงตนเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ซึ่งกำหนดการวันที่ 18 ก.พ. 48 ตนต้องไปเยี่ยม กอ. สสส. จชต.แต่ตนเคยไปมาแล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว ผอ.กก.สสส.จชต.นั่งกับตนก็เล่าให้ฟังหมด จึงถือว่าภารกิจของตนหมดแล้ว เลยบินออกจากพื้นที่ก่อนกำหนด
|