ชีวิตนักข่าว
เบียร์ถูก ผลไม้สด อาหารจืด การแสดงเยี่ยม
ณรงค์ ชื่นนิรันดร์
25 มิถุนายน 2548
สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งต่อไปนี้ผมจะขอเรียกว่า ประเทศจีน เพื่อจะได้สื่อได้อย่างเข้าใจ และกระชับในการเรียก ชื่อประเทศนี้ ทีนี้เรามาดูเรื่องการเดินทางจากประเทศไทยไป จีน มีอยู่ 3 ทาง คือ ทางบก ทางทะเล และทางอากาศ ซึ่งเป็นการเดินทางที่สะดวกรวดเร็ว เพียงแต่เรานั่งเครื่องบิน จากสนามบินสุวรรณภูมิ โดยเครื่องบินของสายการบินไทย ด้วยเครื่องบิน โบอิ้ง 747 จะใช้เวลาบินอยู่ในอากาศ 4 ชั่วโมง เครื่องบินก็จะพาเราเดินทางไปถึงสนามบินปักกิ่ง นับว่าเป็นเวลาเดินทางที่ไม่นานนัก
วันที่ 25 มิถุนายน 2548 ผมได้เดินทาง ไปจีน เพื่อดูงานด้านโทรทัศน์กับวิทยุกระจายเสียง ที่เป็นความใฝ่ฝันของผมมานาน ผมเดินทางถึง กรุงปักกิ่ง ก็ประมาณ เกือบ 6 โมงเย็นแล้ว และก็ถึงเวลาที่จะต้องหาอาหารทานกัน ผม และคณะ ได้เดินทางไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคาร อาหารจีนชื่อ My Sweet Home ก่อนที่ผมจะเดินเข้าไปในร้าน ก็เห็นบรรดา พ่อค้า แม่ค้าจีน ปั่นรถสามล้อซาเล้ง ขนแตงโม คล้าย ๆ พันธุ์จินตรา และยังมี ลูกท้อสด ลูกแพร มาวางขายหน้าร้าน ผมคิดอยู่ในใจเหมือนกันว่า ที่เมืองจีนก็มีแตงโมขาย เหมือนกับบ้านเรา แถมยังเป็นลูกกลม ๆ เปลือกเขียว ๆ ข้างในยังมีเนื้อสีแดง อีกด้วย สภาพอากาศที่ผมไปวันนั้น ค่อนข้างดี ไม่ร้อนไม่หนาว เพราะเป็นช่วงฤดู ใบไม้ร่วง ผมต้องยอกท่านผู้อ่านว่า ที่เมืองจีนมี 4 ฤดู คือ ฤดูใบไม้ร่วง เมื่อใบไม้ร่วงเสร็จก็จะเป็น ฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นก็จะเป็น ฤดูหนาว และฤดูร้อน แต่ละฤดูก็จะมีเวลาอยู่ 3 เดือนเท่านั้น แล้วฤดูฝนอยู่ตรงไหน ก็ขอตอบว่า ที่เมืองจีนไม่มีฤดูฝน แต่จะมีฝนตกอยู่ใน ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง กับฤดูใบไม้ผลิ เท่านั้น ครับ แต่เมื่อเป็นฤดูหนาวก็จะเป็นหิมะตก แทนฝน
อาหารที่เรารับประทานกันวันนั้น มีหลายอย่าง ทั้งหมดเป็นอาหารจีน ผมต้องบอกท่านว่า อาหารจีน ทั่วไป ที่ผมสังเกต ก็จะเป็นประเภทผัด ต้มจืด นึ่ง อาทิปลานึ่ง อาหารทั้งหมด จืดสนิท และไม่เผ็ดเลย ครับ เกลือที่ใส่น่าจะใส่น้อยมาก ถ้าเป็นผัดผักก็จะมีน้ำมันเยอะมาก และดูเหมือนว่าที่เมืองจีน เขาไม่กินน้ำปลาเหมือนบ้านเรา แต่เขาจะกินซีอิ้วขาว แทน ซึ่งทำมาจากถั่วเหลือง หมักกับเกลือ จนได้น้ำซีอิ้ว ส่วนอาหารประเภทพริกน้ำปลา ไม่มีนะครับ พริกที่เมืองจีน แม้นว่าจะอวบใหญ่ แต่ไม่เผ็ดเลย ไกด์ ที่พาเราไป จึงต้องเตรียม น้ำพริกแม่ประนอม ที่มีรสชาติ เผ็ด ติดตัว ไปด้วย เพราะคนไทยโดยธรรมชาติ จะชอบกินเผ็ด กินเค็ม แต่ไกด์ก็ไม่ได้พกน้ำปลาไปด้วยนะครับ น้ำที่เมืองจีน ต้องบอกท่านว่า แพงมาก เวลาเสริฟ ผมจะเห็นน้ำไม่กี่ขวด นอกนั้นก็จะเป็นน้ำอัดลม และเบียร์ ส่วนน้ำแข็ง ก็จะให้มาเพียงแก้วเดียว ผมยืนยันว่า แก้วเดียว ไม่ได้มาเป็นเยือกนะครับ จากการหาข้อมูลขอผม ได้ความว่า น้ำที่เมืองจีน หายากและขาดแคลน ไม่เพียงพอต่อการบริโภค เพราะจีนมีพลเมืองถึง 1,300 ล้านคน ท่านหลับตานึกเอาเองก็แล้วกัน ว่าคนจีนจะต้องใช้น้ำ วันละกี่ลิตร ถ้าไม่ประหยัด น้ำหมดประเทศแน่ แต่ผมก็ผิดสังเกตอยู่นิดหนึ่งคือว่า เบียร์ จีน ยี่ห้อ Yanjing (เยนจิง : ไม่ทราบหมายถึงอะไร หรืออาจจะหมายถึง เบียร์เย็นจริง ๆ ก็ได้นะครับ) ขนาดบรรจุ 1 ลิตร เขาขายราคา ขวดละ 25 บาท ซึงถือว่าถูกมาก เพราะราคาเบียร์ที่บ้านเรา ถ้าขวดลิตร ก็จะมีราคา ราว 40 บาท ขึ้นไป ครับ ผมพยายามหาคำตอบว่าทำไมเบียร์ที่เมืองจีน ทำไม จึงถูก ก็ได้รับคำตอบที่ไม่ค่อยถูกใจสักเท่าไหร่ คือ คนจีนไม่ค่อยดื่มเบียร์ เบียร์จึงขายไม่ออก จึงต้องขายถูก แต่ผมว่าไม่น่าจะใช่ คำตอบที่แท้จริง ผมจะหามาตอบท่านในโอกาสต่อไป ในความเป็นจริง เบียร์น่าจะขายแพงกว่าน้ำ เพราะต้องนำน้ำไปหมักกับ ข้าวบาร์เลย์ ยีสต์ แล้วก็หมัก ที่ต้องใช้เวลา กว่าจะได้เป็นน้ำเบียร์ มันต้องแพงกว่าน้ำซิ แต่เบียร์ที่จีน ถูกกว่าน้ำครับ
หลังจากที่เรานั่งรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เดินข้ามถนน ไปไม่ไกลนักก็ถึง โรงมหรสพ ที่เปิดการแสดง ให้กับนักท่องเที่ยวได้ชมกัน หลังจากที่ผมได้ตั๋วแล้วก็เดินเข้าไปหาที่นั่ง ซึ่งดูภายในก็เหมือนกับโรงหนังบ้านเรานี่แหล่ะครับ ไม่ใหญ่ไม่โต เท่าไรหนัก
การแสดงบนเวทีเริ่มขึ้นโดยเป็นการแสดง ที่เน้นถึงความแข็งแรงของนักแสดง เช่น การต่อตัว การตีลังกา การห้อยโหน บนเชือก เป็นต้น แต่สิ่งที่ผมประทับใจ และน่าชมที่สุดคือ การที่ผู้แสดง หลายคน แสดงการเปลี่ยนหน้ากาก ที่ใช้เวลาเพียงแค่กระพริบตา ก็สามารถเปลี่ยนหน้ากาก ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งผมพยายามเพ่งดูเพื่อจะจับผิด แต่ก็ไม่สามารถ จับได้ว่านักแสดงเขาเปลี่ยนหน้ากากกันแบบไหน ช่างรวดเร็วเสียจริง ๆครับ ยังเป็นความดำมืดของผมมาจนถึงวันนี้ ว่านักแสดงเขาทำกันอย่างไร
หลังจากที่ผมดูการแสดง กายกรรมแล้ว ก็เดินทางเข้าที่พัก ผมจำชื่อโรงแรมไม่ได้ แต่ผมก็จำได้อย่างขึ้นใจว่าเป็นโรงแรมระดับ 3 ดาว พอที่จะหลับนอนได้ เมื่อผมเข้าห้องพักเรียบร้อยแล้ว พลันก็เหลือบ เห็นห้องข้าง ๆ ภายในห้องเปิดไฟสลัว ๆ มีไฟหิ่งห้อยแสงสี เหมือนกับร้านคาราโอเกะ บ้านเรา แทนที่จะ อยู่ตึกริมถนน แต่ดันมาเปิดในห้องพัก และที่แปลกไปกว่านั้น สาว ๆ ในห้อง ก็มีอยู่หลายคน ที่ผมเห็นก็เพราะ เขาเปิดห้องไว้ เมื่อผมเดินผ่านห้องก็จะมีเสียงผู้หญิงร้องทักด้วยเสียงแหลมเล็กเหมือนงิ้ว ถามว่า อาเฮีย....#$&*฿>?* คำต่อไปผมฟังไม่ออก แต่น่าจะเป็นคำเชิญชวนให้ผม เข้าไปใช้บริการ โอ้โฮ สวรรค์ กับ นรก อยู่ตรงหน้านี่เอง ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจนัก เพราะเธอเหล่านั้น ไม่ได้ ขาวสวยหมวยอื๋ม ตาม สเป็ก ที่ผมตั้งใจเอาไว้ ว่าจะต้องเป็นแบบนั้น ก็ได้แต่คิดในใจว่า เรื่องแบบนี้ มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก และก็มีมาแต่สมัยพุทธกาล ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่เราจะเห็นการขายบริการ ที่อยู่ข้างห้องพักของเรา อืม..ถึงว่า เมืองจีน จึงมีพลเมือง มากที่สุดในโลก ก็เพราะอย่างนี้นี่เอง ครับ ....แฮ่
8888888888888888888 |