ชีวิตนักข่าว...ปั่นจักรยานไปทอดกฐิน 4 พ.ย.2550
ชีวิตนักข่าว เป็นชีวิตที่มีโอกาสได้ไปโน่นไปนี่หลายแห่ง มีครั้งหนึ่งที่ผมไปทอดกฐิน การไปครั้งนี้ไม่ธรรมดาครับ พวกเราปั่นจักรยานไป ผมจำได้แม่นกับเหตุการณ์ที่ประทับใจในครั้งนั้น
เช้าตรู่ของวันที่ 4 พฤศจิกายน 2549 เวลาประมาณ 7 โมงเช้า ผมพร้อมด้วยเพื่อนหน้าใหม่ส่วนใหญ่มาจากโรงพยาบาลหาดใหญ่ นัดแนะกันว่า เราจะปั่นจักรยานไปทอดกฐิน ที่บ้านทุ่งโนรี ต.ทุ่งโนรี อ.ป่าบอน จ.พัทลุง เมื่อเรารวมพลกันได้ที่ พวกเราก็ปั่นจักรยานไปที่หน้าโรงพยาบาลหาดใหญ่ เพื่อรวมตัวกันและถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก จำได้ว่า ไปประมาณ 20 คัน เมื่อพร้อมเราเริ่มปั่นออกจากโรงพยาบาลหาดใหญ่ เวลาประมาณ 7 โมงครึ่ง ปั่นผ่านห้างบิ๊กซี หาดใหญ่ ลัดเลาะไปตามเส้นทางลำลอง เราปั่นไปจนถึงอำเภอควนเนียง จังหวัดสงขลา จึงได้หยุดพัก ระยะทางประมาณ เกือบ 30 กิโลเมตร โอ้...เหนื่อยเหมือนกันนะครับ เพราะทางที่ไปก็ไม่ค่อยสะดวกนัก แต่บรรยากาศก็ร่มรื่นดี นี่ถ้าปั่นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ผมก็คงไม่ปั่นเป็นแน่ เพราะกลัวจะถูกยิงหัว
พวกเราหายเหนื่อย ก็ปั่นต่อ มุ่งหน้าไปที่ บ้านทุ่งโนรี ในระหว่างทาง ผ่านทุ่งนา สวนยาง เส้นทางไม่ค่อยมีรถยนต์วิ่งผ่านเท่าไหร่ จะมีก็แต่ มอเตอร์ไซด์ ของชาววิ่งผ่านมาไม่กี่คัน วันนั้นผมปั่นจักจักรยานได้ค่อนข้างดี จี้ติดตูดคันหน้า เพราะผมซ้อมปั่นอยู่กับที่ ที่โรงแรมเจบี หาดใหญ่ เพื่อออกกำลังกาย จึงทำให้ผมมีแรงปั่นได้เร็วพอ ๆ กับ นักปั่น ที่ยังหนุ่มแน่น แต่ก่อนที่จะถึงถนนหลักหมายเลข 4 ก็หมดแรงข้าวต้ม
ในที่สุดผมก็ถึง ถนนสายหลัก สี่เลน คราวนี้หล่ะพ่อคุณ รถยนต์เยอะมาก และเสี่ยงอันตรายสุด ๆ ในที่สุดพวกเราก็ปั่นมาถึงทางเข้าวัดควนโนรี พักกินน้ำ เหลือบไปเห็นป้ายบอกว่า เหลือระยะอีก 7 กม. โอ้...ก็ไกลเหมือนกันนะนี่ พอหายเหนื่อยพวกเราก็ปั่นต่อ แรงข้าต้มก็เริ่มหมด เพราะถึงเวลากินข้าวเที่ยงแล้ว หนำซ้ำฝนยังตก ปลอย ๆ ทำให้มีแรงฮึดขึ้นมาอีก ในที่สุดก็ถึงวัดทุ่งโนรี โดยสวัสดิภาพ แบบมอมแมม เพราะปั่นลุยฝนมา
พรรคพวกร้องตะโกนมาว่าให้ไปกินข้าว แถว ๆ ข้างวัด ก็จะมีน้ำดื่มประเภทชาเย็น ผมแวะไปทันที ชาวบ้านที่นั่นดีมาก เขาทำชาเย็นเป็นหม้อ ๆ รอพวกเราและคนที่มาร่วมงาน ผมซัดไป 3 แก้ว อิ่มท้องไปเลย
จากนั้นผมก็เหลือบไปเห็น คนตัวดำ ๆ ผมหยิก ๆ มีทั้งเด็กชายและเด็กหญิง บางคนดูยังเด็กอายุประมาณ 14-15 ปี มีลูกติดเอวอยู่ทุกคน ผู้ชายมีอยู่คนเดียว อายุประมาณ 40 ปีแต่ก็ดูแก่หงัก ราวอายุ 60 ปี ผมรู้ทันทีว่า นั่นคือเงาะป่าซาไก และก็ไม่คิดว่าตัวเองจะโชคดีขนาดนี้ เพราะผมเห็นแต่ในหนังสือเรียน ตอนเป็นเด็ก และก็เห็นสารคดีที่ออกอากาศในโทรทัศน์เท่านั้น ไม่นึกว่าจะเห็นตัวเป็น ๆ ผมไม่รอช้าขอถ่ายรูปทันที ดูเงาะซาไก ก็ดูตื่น ๆ อยู่เหมือนกัน เพราะผมบ้าถ่ายรูปแบบชนิดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เงาะป่าผู้หญิงบางคน อุ้มเด็ก ผมไม่หยิก ก็ดูแปลก ๆ แต่ก็อยากจะถามอยู่เหมือนกันว่า พ่อเป็นคนที่ไหนและดูน่าจะไม่ใช่ เผ่าพันธุ์เดียวกัน
เงาะป่าซาไก เป็นชนเผ่าดั้งเดิม ในพื้นที่แห่งนี้จะมีอยู่แถวเทือกเขาบรรทัดในพื้นที่จังหวัดพัทลุง อีกแห่งหนึ่งก็คือที่ อำเภอธารโต จังหวัดยะลา เชื่อว่าเป็นคนดั้งเดิมที่อยู่ในแผ่นดินนี้ แต่ไม่มีการพัฒนาวิถีชีวิตให้มีความทันสมัย การเป็นอยู่จึงอยู่อย่างง่าย ๆ กับป่าเขาลำเนาไพร การรุกล้ำทางวัฒนธรรม ของคนจากต่างถิ่นจึงมีอิทธิพลต่อชนเผ่า เงาะป่าซาไก จนแทบไม่เหลืออะไรอีก
เงาะป่าซาไก เป็นชนกลุ่มน้อยที่สุดที่มีอยู่บนคาบสมุทรมลายู ที่ไม่รู้เมื่อไหร่จะสูญหายไปเพราะที่เห็นลูกผมที่หยิกงอ บางคนก็เริ่มเหยียดตรง หน้าตาก็ออกไปทางชาวไทยทั่วไป
งานทอดกฐินในวันนั้น ฝนตกลงมาอย่างหนัก หลังจากที่มีการเดินแห่กฐินรอบศาลาการเปรียญ เหมือกับฟ้าฝนเป็นใจ ที่พวกเรามาทำบุญกัน
ผมไม่มีโอกาสเข้าไปในศาลา เพราะชาวพุทธมากันมาก ส่วนใหญ่ก็มาจากอำเภอหาดใหญ่ รองลงมาก็เป็นชาวพัทลุง งานบุญในบ้านนอกแบบนี้ ก็เป็นธรรมดาครับ จะมีร้านค้ามาขายในวัด ผมได้เห็นความรักใคร่ของคนไทยพุทธกับมุสลิมก็คราวนี้ เพราะร้านค้าภายในวัดมีแม่ค้าเป็นชาวมุสลิมมาขายของประเภทของกินอยู่ด้วย นี่ก็แสดงให้เห็นว่า พุทธมุสลิม ไม่มีปัญหาความขัดแย้งกันเหมือนกับที่คนบางคนจะ ให้ทะเลาะกัน
ผมกะว่าจะอยู่จนพิธีเสร็จ ก็มีเพื่อนสมาชิกจักรยานหาดใหญ่ มาตามให้กลับหาดใหญ่ พวกเราเกือบทั้งหมด หมดแรงข้าวต้ม เอาจักรยานขึ้นรถยนต์ เหลือก็เพียงคนเดียว ที่ปั่นกลับ ขอโทษผมจำชื่อไม่ได้ แต่รู้ว่าทำงานที่โรงพยาบาลหาดใหญ่
ผมมาถึงบ้านที่แฟลตช่อง 11 ก็เวลาประมาณ 15.30 น ของวันที่ 4 พ.ย.49 พอถึงก็อาบน้ำ หมดแรง ล้มตัวลงนอน สบายใจ ครับ ที่ปั่นจักรยานรอดกลับมาบ้านโดยสวัสดิภาพ พบกันใหม่ตอนหน้าครับ * * * * * * * * * *
|