www.narongthai.com  

www.narongthai.com เป็นเว็บไซต์เชิงวิชาการ ที่สามารถนำอ้างอิงได้ตามหลักวิชาการ                                                                                                                                                                                                                                                                           
 

 ณรงค์ ชื่นนิรันดร์
https://www.facebook.com/profile.php?id=100010475651732
สร้างลิงค์ของโปรไฟล์ในแบบที่เป็นตัวคุณเอง

 

 

 

 

 

 

 สถิติวันนี้ 3 คน
 สถิติเมื่อวาน 45 คน
 สถิติเดือนนี้
สถิติปีนี้
สถิติทั้งหมด
2529 คน
52316 คน
1744760 คน
เริ่มเมื่อ 2010-01-13

 

ชีวิตนักข่าว ตอน...บินทำข่าว 4 ชั่วโมง ว้าย...เสียว
โดยณรงค์ ชื่นนิรันดร์

13/6/43

ในชีวิตนักข่าว สิ่งที่ไม่ชอบที่สุดคือการขึ้นเครื่องบินไปทำข่าว แต่ก็ต้องไปเพราะข่าวทีวี สิ่งที่สำคัญก็คือภาพ ภาพที่ได้ก็ต้องใหม่ ถึงจะเป็นภาพข่าวที่ดี ความจริงผมไม่ใช่ช่างภาพ แต่ก็ต้องทำหน้าที่นี้ เพราะช่างภาพของผม ให้ไปถ่ายภาพทางอากาศ แกบอกว่าให้ไปตายดีกว่า ดังนั้นหน้าที่ที่ต้องถ่ายภาพทางอากาศ จึงไม่หนีไปจากผมเพราะทั้งสำนักงาน มีผมกับแกเท่านั้นแหล่ะ ทั้ง ๆ ที่ในใจของผมก็บอกว่าให้ไปตายดีกว่าเหมือนกับแกนั่นแหล่ะ แต่ด้วยความเป็นหัวหน้า มันคลุมหัวอยู่ก็บอกกับตัวเองว่า ไปตายบนที่สูงดีกว่า หากเป็นอะไรไป เงินประกันก็จะได้กับลูกเมีย นี่ก็แปลว่ารักลูกรักเมีย จริง ๆ แล้วเมียไม่รู้หรอกว่ารักไม่รัก เพราะตอนขึ้นเครื่องก็ไม่ได้สั่งเสียซักที

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังนั่งเขียนข่าวอยู่ก็มีทหารเรือโทรศัพท์มาที่ทำงานของผม คือ สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ภูเก็ต บอกว่ามีเหตุเรือล่มในทะเลอันดามัน เครื่องบินตรวจการดอร์เนีย ของหมวดบินเฉพาะกิจ กองเรือภาคที่ 3 จังหวัดภูเก็ต จะขึ้นบินภายใน 30 นาที นี้ขอให้ส่งช่างภาพขึ้นบินทำข่าวด้วย

ผมหันซ้ายหันขวา ก็เจอแต่ช่างภาพคนเก่าของผมซึ่งก็เป็นเพื่อนกัน เพราะอายุเท่ากัน คือคุณจริญ ตอนนี้เปลี่ยนชื่อใหม่แล้ว คือ คุณรัชพล ที่เปลี่ยนใหม่ จาก จริญ เป็นรัชพล แกให้เหตุผลว่า ชื่อจริญ หมายถึง จะริน - จริญ อยู่นั่นแหล่ะ ไม่รินซักที ไม่เลื่อนขั้นซักที แถมทำงานหนัก และก็ไม่รวยซักที ก็เลยเปลี่ยนชื่อเป็น รัชพล แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นรัชพลแล้ว ก็ยังไม่รวยซักที ในที่สุดก็เลยเปลี่ยนชื่อใหม่ ว่า ธนพล คือกะว่าเปลี่ยนคราวนี้ร่ำรวยแน่นอน เพราะ ธน คงจะมาจาก ธนาคาร อะไรทำนองนั้น เอ้าขอให้รวย ขอให้รวย

ช่างภาพคนสนิทของผมบอกอย่างหนักแน่น พร้อมกับเบือนหน้าหนี ว่า " ผมไม่ไปนะแก้ว" คำเดียวสั้น ๆ ได้ใจความ ไม่ต่อรอง เพราะแกเคยบอกผมแล้วก่อนหน้านี้ว่าถ้าจะให้ขึ้นเครื่องบินขอไปตายดีกว่า ผมก็ดูแล้วว่าถ้าขืนให้แกขึ้นเครื่องบินไปถ่ายภาพ ก็เท่ากับเป็นการส่งคนไปตาย เพราะกลัวความสูง ผมก็เลยจำเป็นที่จะต้องขึ้นเครื่องบินไปค้นหา ลูกเรือที่สูญหายจมลงสู่ทะเล

ผมบอกให้คุณปรีชา ซึ่งเป็นคนขับรถ ที่รู้ใจผมที่สุด คือ ถึงแม้นว่าจะมีเหตุการณ์รีบร้อนแค่ไหนผมจะบอกว่า ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง ไม่ต้องรีบเพราะมันไม่คุ้ม กว่ารถของสถานีจะไปส่งผม ที่สนามบินภูเก็ตก็เลย 30 นาที แต่ นาวาโทสุรพล ผบ.หมวดบิน ก็ยังนั่งรอผมอยู่ ที่อาคารชั่วคราว ภายในการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยภูเก็ต

ผมนั่งพักอยู่ประมาณ 10 นาที ผมก็บอให้คุณปรีชา กลับก่อน เพราะการบินอย่างน้อยต้อง 1 ชั่วโมง จากนั้นผมก็นั่งรถกระบะของทหารเรือ เข้าไปยังลานจอดเครื่องบินดอร์เนีย ภายในรันเวย์ของสนามบิน ก่อนจะเข้าสนามบิน ยาม อ้อ ...ที่จริงเรียกว่าหน่วยรักษาความปลอดภัยของสนามบินภูเก็ต หรือ รปภ. ก็เข้ามาตรวจค้นภายในรถยนต์ ตรวจเกือบจะทุกซอกทุกมุม ทหารเรือและนักบิน ก็ไม่ค่อยจะพอใจ พอตรวจค้นเสร็จ ทหารเรือก็บ่น...กันงึมงำ บอกว่าไม่รู้จะตรวจหาพระแสงหอกอะไร เห็นหน้ากันอยู่ทุกวัน แ ...ง หาเรื่อง

ขณะที่ผมนั่งรถยนต์เข้าไปในสนามบิน กับ ผบ.หมวดบิน ผมก็ถามขึ้นว่า " พี่ จะใช้เวลาบินนานไหม " ผบ.หมวดบินบอกว่า "ก็อย่างน้อยต้อง 4 ชั่วโมง " ผมหน้าซีด...มือเริ่มเย็นขึ้นมาทันทีเพราะถ้าบินอยู่บนอากาศ 4 ชั่วโมง ก็เท่ากับบินไปกรุงเทพ-ภูเก็ต 4 เที่ยว คิดดูแล้วกันว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน และเครื่องบินก็เล็กนิดเดียว แต่ก็มี 2 เครื่องยนต์คือปีกละเครื่อง มีใบพัดเป็นตัวทำงานถ้าเครื่องใดเครื่องหนึ่งหยุดทำงาน อีกเครื่องหนึ่งยังบินได้ไม่ตก เขาว่ายังงั้น เอ้า...ไม่ตกก็ไม่ตก ผมจึงแบกกล้องถ่ายข่าวโทรทัศน์ที่เรียกว่า "เบต้าแคม" รุ่นนี้ราคาเกือบล้านบาท นักข่าวทั้งลำมีผมเพียงคนเดียว ที่ขึ้นไปด้วย นอกนั้นก็มี นาวาโทสุรพล ผบ.หมวดบิน ช่างเครื่อง 2 คน แน่นอนต้องมีนักบิน ซึ่งก็ขึ้นไป 2 คน เพราะเครื่องบินส่วนใหญ่จะมีนักบิน 2 คน หากคนใดคนหนึ่งมีอันเป็นไป อีกคนหนึ่งก็จะขับแทน อะไรทำนองนั้น และที่สำคัญที่ขาดไม่ได้คือ อาหารกล่องเอาติดขึ้นไปด้วยประมาณ 10 กล่อง แน่นอนต้องกินข้าวเที่ยงบนเครื่องอย่างแน่นอน เพราะเราออกจากสนามบินก็เวลา 11.00 น.เข้าไปแล้ว

เครื่องบินตรวจการณ์ดอร์เนีย บินขึ้นจากรันเวย์สนามบินภูเก็ตเวลา 11.00 น. ตรง ที่ขึ้นเวลานี้เพราะไม่มีเครื่องบินพาณิชย์ขึ้นลง เพราะก่อนจะบินนักบินก็จะขออนุญาตหอบังคับการบิน เพื่อจะได้ไม่ไปบินชนกับเครื่องบินอื่น หอบังคับการบินก็เหมือนตำรวจจราจรนั่นแหละ ที่จะคอยบอกนักบินให้บินตามเส้นทางที่กำหนด

เมื่อเครื่องบิน ออกแท็กซี่ ซึ่งหมายถึง เครื่องบิน ไปตั้งลำเพื่อที่จะบินขึ้น เครื่องบินเลือกที่จะบินขึ้นทางทิศตะวันตก เพราะเป็นด้านที่ติดทะเลอันดามัน ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เราจะค้นหา หลังจากเครื่องบินตั้งลำเสร็จ นักบินตรวจความพร้อมของ เครื่องบินเรียบร้อย เครื่องก็พร้อมที่จะขึ้น ผู้โดยสารทุกคนรัดเข็มขัด นักบินเร่งเครื่องเต็มที่ ขณะที่เรานั่งเหมือนมีแรงมหาศาลฉุดกระชากเราให้ติดเบาะ เครื่องก็ทะยานบินขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะ เป็นเครื่องบินขนาดเล็ก จึงใช้ทางวิ่งสั้น ๆ จากนั้นเครื่องก็บินไต่ระดับ ที่ความสูง 10,000 ฟิต บรรยากาศ แจ่มใส ท้องฟ้าโปร่ง ไม่มีเมฆ มองข้างล่าง เห็นน้ำทะเล สีคราม บางช่วงก็เป็นสีครามดำ นั่นแสดงว่าน้ำลึก แต่ถ้าสีน้ำทะเล ออกไปทางสีฟ้าขาว ก็บอกได้ว่า ทะเลบริเวณนั้นตื้นเขิน

เมื่อเครื่องบินไต่ระดับได้ที่ ก็เริ่มสำรวจ พื้นทะเลข้างล่าง โดยนักบินจะกางแผนที่การบิน จากนั้นก็จะตั้งระบบการบินอัตโนมัติ การบินค้นหาจะมีการบินเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า สลับกันไปมา ถ้าท่านมองไม่ออกว่าบินยังไงก็ขอให้ดูวิธีการไถนา ของชาวนาก็ได้ ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกัน เพราะถ้าไม่บินแบบนี้ก็จะเป็นการซ้ำพื้นที่การค้นหาเดิม และจะทำให้ไม่ได้ผล การบินค้นหาลูกเรือประมงที่สูญหายครั้งนี้ มีเรือตรวจการของตำรวจน้ำออกค้นหาด้วย

การบินค้นหาตลอด 4 ชั่วโมง นี้ ผมต้องมองออกไปหน้าต่างของเครื่องบิน เพื่อมองลงไปที่ทะเลตลอดการค้นหา เป็นภาพที่ตื่นตาตื่นใจ เพราะได้เห็นเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ บรรทุกตู้คอนเทรนเนอร์ ใส่สินค้าจากประเทศพม่าไปประเทศสิงคโปร์ เหมือนกับรถบรรทุกที่บรรทุกของในถนนมิตรภาพ พูดง่าย ๆ ก็คือว่า เป็นเส้นทางการเดินเรือระหว่างประเทศ ซึ่งบางทีเราก็คิดว่า ทะเลจะมีแต่เรือประมงหาปลาอย่างเดียว ความจริงแล้วยังมี เส้นทางการขนส่งสินค้าทางเรือ

เครื่องบินของเราบินโฉบลงต่ำ เพื่อจะดูว่าเรือบรรทุกอะไรมาบ้าง ขณะที่เรือ ตรวจการของตำรวจน้ำ แล่นลาดตระเวนค้นหาลูกเรือประมง ที่คาดว่าจะลอยคออยู่ในทะเล

ผมหันมาถาม ผบ.สุรพล แข่งกับเสียงเครื่องบิน ที่แฝดดังแสบหู ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามผม "ผบ. ครับ เรื่องเป็นยังไง ครับ " "เมื่อวานนี้เราได้รับแจ้งจากเรือประมง ที่กันตัง จังหวัดตรังว่า ได้รับลูกเรือประมง นอกชายฝั่ง เกาะราชาน้อย 3 คน ส่วนอีกคน หนึ่งสูญหาย ต้องการให้เราค้นหา ""อากาศดีขนาดนี้ ทำให้เรือจม ได้เหรอครับ" "อันนี้ไม่เกี่ยวกับอากาศ ครับ แต่ได้รับรายงานว่า หลังจากที่ลูกเรือประมง วางอวนเสร็จแล้วประมาณ เที่ยงคืน ทุกคนก็นอนหลับ พักผ่อน ขณะที่กำลังหลับฝันหวานอยู่นั้น น้ำทะเลก็ค่อย ๆ ซึม เข้าเรือ พอทุกคนรู้สึกตัวก็สายซะแล้ว น้ำไหลเข้าเรือจนยากที่จะวิดน้ำ ออกจากเรือ จนทำให้เรือจมลงสู่ก้นทะเลอันดามัน " "นี่ก็แสดงว่า หลับเป็นตายนะซิครับ" "ใช่... สุภาษิต หลับเป็นตาย ก็เอามาใช้ได้ก็ตอนนี้แหละ" ผบ.สุรพล พูดไป อัดบุหรี่ ไป ดูท่าทางเครียด น่าดู เพราะผบ.สุรพล เป็นผบ.หมวดบินเฉพาะกิจ คนแรก ที่มารับตำแหน่งนี้


"คุณณรงค์ ทานข้าวครับ" ผบ.เชิญผมกินข้าวที่ได้เตรียมมา ผมหยิบข้าวห่อที่ทหารเรือเตรียมมา พอแกะห่อออกมา ก็เป็นอาหารยอดนิยม คือ ผัดกะเพรา หมู หมึก ราดข้าว อ้อมีไข่ดาว ด้วย กินไปก็อดนึกถึงแอร์โฮสเตส สวย ๆ อาหารฝรั่งใส่กล่อง พร้อมน้ำส้ม บางทีก็มีไวน์แดง ดื่มด้วย เออก็ได้แต่นึก หล่ะครับ ขณะที่ผมกำลังทานข้าวอยู่นั้น ผมก็ต้องตกใจ เพราะนักบินคนหนึ่ง ลุกจากที่นั่ง มานั่งกินข้าวกับพวกเราที่ห้องโดยสาร  " อ้าว ...เครื่องจะไม่ตกหรือนี่ " ผมถามขึ้นมาลอย ๆ ด้วยความตกใจ สักพัก ผบ.สุรพล ก็อธิบายให้ฟังว่า "เครื่องบิน ความจริงจะมีนักบินขับกันสองคน เผื่อนักบินคนใดคนหนึ่งเป็นอะไรไป นักบินอีกคนก็จะได้ช่วยขับ เครื่องก็จะไม่ตก" ผมจึงเข้าใจแต่ก็ยังสงสัยอีกว่า "แล้วถ้านักบินตายทั้งสองคน จะทำยังไงครับ เนี่ย " "ก็ตายทั้งลำนะซิ คุณณรงค์ "


ขณะที่เครื่องบินกำลังค้นหา นักบินอีกคน ก็รับแต่โทรศัพท์มือถือ พอจะจับใจความได้ว่า เมียโทรมาแน่นอน เพราะฟังการตอบรับ การพูดการจากระโชกโฮกฮาก และเท่าที่สังเกตดู โทรมาหลายรอบ คล้าย ๆ กับไม่เชื่อว่า สามีกำลังบิน อยู่ ผมนึกอยู่ในใจ ตายแน่คราวนี้ นักบินรับแต่โทรศัพท์ จะดูทางไหมนี่ เกิดไปชนกับเครื่องบินลำอื่น ตายแน่เลยเรา ทำให้ผมเฝ้าแต่มองไปที่หน้าเครื่องบิน ก็มองไม่เห็นทาง จะเห็นได้ยังไง มีแต่ท้องฟ้าที่เวิ้งว้าง คงไม่ไปชนใครหรอกน่า เราบินกัน 4 ชั่วโมงพอดี เครื่องบินก็เริ่มบินวน ไปที่เกาะพีพี ผมมองลงไปข้างล่าง เห็นคล้ายศพลอยน้ำ ก็ได้รับคำชี้แจง จากผบ.ว่า "ที่เห็นข้างล่างเหมือนกับศพลอยน้ำ ความจริงคือ ฝูงโลมา " ผมเพ่งดูชัด ๆ ก็จริง อย่างที่ ผบ.ว่า นั่นคือฝูงโลมา เยอะด้วย


ผบ.สุรพล หันมาบอกผมว่า  "เครื่องเราจะกลับ แล้วนะ ตัวเครื่องจะสั่น มาก รัดเข็มขัดด้วย " เครื่องบิน เริ่มบินผ่านแผ่นดินใหญ่ เหนือเมืองภูเก็ต เครื่องสั่นมาก เพราะลมที่พัดอยู่ข้างล่างพัดไม่ราบเรียบเหมือนบินอยู่ในทะเล ในที่สุดเครื่องของเราก็บินมาถึงสนามบินภูเก็ต อย่างปลอดภัย ล้อแตะรันเวย์ เวลา 15.00 น. ตรงเป๊ะ รวมเบ็ดเสร็จ 4 ชั่วโมง เท่ากับบินจาก ภูเก็ต-กรุงเทพ 4 เที่ยว ผมลงจากเครื่อง ช่างประจำเครื่องบิน ตะโกนมาบอกผมว่า
"คราวหน้าบินอีกนะพี่" ผมได้แต่พยักหน้า เพราะ 4 ชั่วโมง ไม่เห็นลูกเรือประมง เห็นแต่ ฝูงโลมา เรือประมง เรือเดินสมุทร เรือท่องเที่ยว และวิวสวย ๆ ของ หมู่เกาะพีพี เกาะราชา คราวหน้า ว่ากันใหม่ ครับ ....พี่จ่า

* * * * * * * * * * * *

         

1


คลิ๊กนี้มีความหมาย

ณรงค์ ชื่นนิรันดร์ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จ.ภูเก็ต อ.เมือง จ.ภูเก็ต 83000 : Webmaster by Narong Cheunniran : อีเมล์ :narongthai53@gmail.com