www.narongthai.com  

www.narongthai.com เป็นเว็บไซต์เชิงวิชาการ ที่สามารถนำอ้างอิงได้ตามหลักวิชาการ                                                                                                                                                                                                                                                                           
 

 ณรงค์ ชื่นนิรันดร์
https://www.facebook.com/profile.php?id=100010475651732
สร้างลิงค์ของโปรไฟล์ในแบบที่เป็นตัวคุณเอง

 

 

 

 

 

 

 สถิติวันนี้ 2 คน
 สถิติเมื่อวาน 45 คน
 สถิติเดือนนี้
สถิติปีนี้
สถิติทั้งหมด
2528 คน
52315 คน
1744759 คน
เริ่มเมื่อ 2010-01-13

 

ชีวิตนักข่าว ตอน...เมื่อนักข่าว บิน...ถ่ายข่าว
โดยณรงค์ ชื่นนิรันดร

ชีวิตนักข่าว มักจะโลดโผนโจนทะยาน เดี๋ยวขึ้นรถ ลงเรือ เดี๋ยวก็ขึ้นเครื่องบิน เป็นอย่างนี้ตลอด ความปอดแหกก็มีเหมือนกัน แต่ด้วยหน้าที่ก็ต้องทำ

ครั้งหนึ่งราวปี 2530 ปลายปี กองทัพเรือจะพาสื่อมวลชนขึ้นบินทำข่าว และถ่ายภาพบริเวณพื้นที่เกาะภูเก็ต และรอบ ๆ อ่าวพังงา คงจะเป็นครั้งแรกที่ผมขึ้นเครื่องบินแบบดอร์เนียร์ และเป็นเครื่องของราชนาวี กองทัพเรือ ที่เก่าโกโรโกโส ปีกเครื่องบิน พร้อมที่จะหลุดออกได้ทุกเมื่อ

ผมต้องรับหน้าที่อีก เพราะช่างภาพของผมคนนี้ แกยังไม่ตื่นถึงแม้นจะถึงเวลา 11.00 โมง เข้าไปแล้ว เพราะเมื่อคืนแกดื่มหนักไปหน่อย และเมาค้าง ขืนขึ้นเครื่อง คงจะอ้วกแตกอ้วกแตน เป็นแน่ ผมจึงตัดสินใจเอากล้องยูเมติค ขึ้นไปถ่าย แหม หนักน่าดู เพราะกล้องชนิดนี้ จะเป็นกล้องแยกชิ้น ตัวเครื่องบันทึกภาพจะอยู่อีกข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งก็จะเป็นกล้องถ่ายภาพ เวลาถ่ายข่าว ไหล่ข้างซ้ายแบกพอร์ทเทเบิล ซึ่งเป็นเครื่องบันทึกภาพ ส่วนไหล่ขวาจะเป็นกล้องถ่ายภาพ รวมน้ำหนักก็ราว 8 กิโลกรัม เหมือนจะไปออกรบ โชคดีที่ผมค่อนข้างตัวใหญ่ ก็เลยสมดุล แต่แบกทุกวันก็ไม่ไหวหนักเหมือนกัน

เรานัดแนะพร้อมกันที่สนามบิน เมื่อก่อนสนามบินภูเก็ต ขึ้นกับกรมการบินพาณิชย์ อาคารยังเป็น 2 ชั้นเล็ก ๆ เหมือนกับห้องแถว ไม้ 2 ชั้น ชั้นบนจะเป็นห้องทำงานของ นายสนามบิน ห้องรับแขก ไม่อยากจะเรียกว่าเป็นห้อง วีไอพี เพราะ มีโซฟา เก่า ๆวางอยู่ 2-3 ตัวคนที่จะเข้าไปนั่งได้จะต้องเป็นผู้มีอำนาจตั้งแต่ผู้ว่าขึ้นไป แต่นักข่าวอย่างเราก็ ได้นั่งมาแล้ว ก็งั้น ๆ ละ ถัดมาก็เป็นห้องพยากรณ์อากาศ ของกรมอุตุนิยมวิทยา เวลาเข้าไปในห้องก็ต้องเดินเบียดกัน เพราะตรงกลางจะเป็นโต๊ะขนาดใหญ่เพื่อเป็นที่วางแผนที่ทางอากาศ ซึ่งนักพยากรณ์อากาศจะต้องมากางดูทุกวัน แล้วก็วาดแผนที่ลักษณะอากาศ เวลาจะสัมภาษณ์ หัวหน้า ก็เอาแผนที่แปะข้างฝา แล้วก็เอียงตัวนิด ๆ ไม่งั้นถ่ายภาพข่าวไม่ได้ ตอนนี้ สถานีอุตุนิยมวิทยา กลายสภาพเป็นศูนย์อุตุนิยมวิทยา ภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีตึกใหญ่โต ชนิดที่เรียกว่า นั่งทำงานกันคนละห้อง จะหากันแต่ละทีก็จะมีโฟนเรียกกัน สะดวกสบาย

ถัดไปปลายตึก แล้วเลี้ยวซ้ายขึ้นบันได แคบ ๆ ก็จะเป็นห้องวิทยุการบิน เป็นห้องเล็ก ๆ เวลาเดินเข้าไปต้องเบี่ยงตัว เดินเข้าไป เพราะห้องแคบมาก ทั้ง ๆ ที่เครื่องไม้เครื่องมือ ก็มีไม่มาก ภายในห้องสามารถมองออกไปได้รอบทิศ เพราะต้องดูเครื่องบินที่ขึ้นลงและมีหน้าที่เป็นจราจรทางอากาศ แต่ด้วยความด้อยของระบบ จึงเป็นสาเหตุให้เครื่องบินของ บริษัทเดินอากาศไทยจำกัด ตกที่อ่าวปอ ก่อนที่จะถึงสนามบินเพียง 3 กิโลเมตร เหตุเกิดเมื่อ วันที่ 29 สิงหาคม 2530 ก็เพราะเครื่องมือที่ไม่ทันสมัย

ภายในอาคารนอกจากจะมีหน่วยงานที่ว่ามา ยังมีอยู่หน่วยงานหนึ่งคือ หน่วยกักกันสัตว์และพืช ผมแง้มประตูเข้าไป เงียบเหงาวังเวงครับ เพราะไม่มีใครอยู่เลย เท่าที่ทราบมีหัวหน้ากับผู้ช่วยเท่านั้น จะมาทำงานก็เฉพาะช่วงที่มีเครื่องบินจากต่างประเทศลงที่ภูเก็ตเท่านั้น เพราะต้องคอยตรวจ สัตว์ พืช และคนโดยสารที่เดินทางมาจากต่างประเทศ เท่านั้น เวลาที่เหลือคงนอนพักอยู่ที่บ้าน

ใครจะเข้าไปถ่ายภาพเครื่องบินขึ้นลง ก็เข้าไปถึงลานจอดเครื่องบิน ได้ ไม่มีปัญหา ว่าใครจะมาไล่ หรือจะมาก่อวินาศกรรม บางทีผมก็เข้าไปถ่ายถึงกลางสนามบิน ก็ไม่มีใครมาไล่ผม แต่ตอนนี้ สุนัขสักตัวจะเข้าสนามบิน เป็นเรื่องยากมาก ที่บอกสุนัขสักตัวจะเข้าสนามบิน ไม่ได้พูดประชดประชันอะไร เพราะสุนัข ที่เข้าไปในรันเวย์ หรือทางวิ่งของสนามบิน จะเป็นอันตรายกับเครื่องมาก เพราะหากไปชนวัว ชนควายหรือสุนัข เครื่องก็อาจจะเสียหลัก หกคะเมน ตีลังกา แทนที่จะบิน ก็คงมอบกระแตอยู่ตรงนั้น ตอนนี้เวลาเครื่องจะขึ้นบิน หอบังคับการบิน เขาจะมี กล้องส่องทางไกล ตรวจหาสิงสาราสัตว์ ที่อยู่ในสนามบิน หากพบว่ามี ก็จะใช้รถปิกอัพ สีเหลือง บนหลังคาจะมีไฟวาบ สีเหลือง ออกวิ่ง ไล่วัว ไล่ควาย ให้พ้นทางวิ่ง สนามบินบางแห่งกลัวแม้นกระทั่งนก นกนี่แหละตัวดี เพราะหากนกจำนวนมาก หลุดเข้าไปในเครื่อง ก็จะทำให้ใบพัดหยุดหมุนเอาดื้อ ๆ เครื่องบินตกได้นะครับ  

ผมรออยู่ครู่ใหญ่ โกหาย หรือ คุณวิทยา พร้อมด้วย ไอ้ยศ หรือสมยศ ลายโถ
ทั้งสองเป็นผู้สื่อข่าวและช่างภาพพิเศษทีวีช่อง 7 ประจำภูเก็ต ก็มาถึงสนามบิน เราพูดคุยกันหลายเรื่อง สมยศ รูปร่างเล็ก ค่อนไปทางเตี้ย รูปร่างหน้าตาถ้าบอกว่าเป็นพี่น้องกับพรศักดิ์ ส่องแสง นักร้องหมอลำ สมยศ เหมือนมาก แต่สมยศต่างกันก็ตรงที่พูดกลาง ทั้ง ๆ ที่ พ่อเป็นคนร้อยเอ็ด อีสาน บ้านเฮา พอพูด ๆ กันอยู่ผมเหลือบไปเห็นถุงพลาสติกหลายใบ ใส่กระดาษทิชชู ประมาณ 7 ม้วน ผมถาม สมยศ ว่า

" ทิชชูใคร ยศ ตั้งหลายม้วน "

" ทิชชูของโกหายครับพี่แก้ว "

" เอ้าทำไม ซื้อเยอะแยะจะเอาไปทำอะไรเหรอ "

"โกหาย แกเป็นคนซื้อ เอาไว้เช็ดอ้วก โกหายแกเมาเครื่อง "

"ซื้อมากขนาดนี้ มันไม่เหลือเหรอ ยศ "

"ต้องเตรียมไว้พี่แก้ว เพราะเวลาแกเมาเครื่อง ดูไม่ได้จริง ๆ ก็ต้องเตรียมกระดาษทิชชูไว้เยอะ ๆ "

"ผมไม่เข้าใจอยู่ดี เอาซักม้วนก็พอไม่ต้องหนักเครื่อง"

พวกเรานั่งคุยกันประมาณ 30 นาที นักบินก็ให้คนมาตาม ไปขึ้นเครื่องเพราะได้เวลาบินแล้ว การบินครั้งนี้นอกจากจะมี ผม โกหาย ไอ้ยศ และนักบินแล้ว ยังมีกำนันเปลี่ยน กี่สิ้น กำนันป่าตองในขณะนั้น ตอนนี้เป็นเทศบาลเมืองป่าตองไปแล้ว ขึ้นเครื่องบินไปด้วย

นักบินพาเครื่องบินดอร์เนียของราชนาวี ชนิด 2 เครื่องยนต์ ที่รู้เพราะมันมี 2 ใบพัด หลังจากที่เครื่องตั้งลำ เครื่องก็แล่นปุเลงปุเลง ที่บอกว่าปุเลง ปุเลง เพราะสนามบิน ค่อนข้างเป็นหลุมบ่อ ไม่ราบเรียบ ราวกับทางเกวียน แค่นั่งก็เสียวแล้ว เครื่องทะยานขึ้นเวลาประมาณ บ่าย 2 โมงเศษ บรรยากาศท้องฟ้าแจ่มใส แต่เวลาเครื่องบินไต่ระดับ ตัวเครื่องสั่งกราว ไปทั้งลำ เหมือนกับจะแตกออกเป็นเสี่ยง ในใจก็บอกว่าจะไหวไหมเนี่ย เหงื่อมือเริ่มชุม แต่ก็พยายามทำใจ เครื่องบินดูเหมือนว่าจะพยายาม ตะเกียกตะกาย ฟังเสียงใบพัด เหมือนกับจะหลุดออกจากตัวเครื่อง เราไม่กล้ามองลงข้างล่าง ต้องยอมรับว่าผม เป็นคนกลัวความสูง ตอนเป็นเด็กแค่ขึ้นชิงช้าสวรรค์ ร้องเอาเป็นเอาตาย แต่ที่ขึ้นเครื่องก็เพราะเป็นนักข่าวนี่แหละ ไม่อยากขึ้นก็ต้องขึ้น จะร้องแรกแหก กะเฌอ เหมือนตอนเป็นเด็ก ก็ไม่ได้เพราะโตแล้ว แต่ก็ภาวนาว่าอย่าตกนะ ทุกคนที่ขึ้นเครื่องไปด้วยกันเงียบกริบทุกคน กลัวเหมือนเราหรือ ปล่าวก็ไม่รู้ หรือว่าวางฟอร์ม ว่าไม่กลัว

อากาศภายในเครื่องร้อนมาก แอร์ภายในก็ไม่เย็น เครื่องบินลำนี้ลำเค็ญ แสนเข็นจริง ๆ มีเก้าอี้เพียง 2 แถวเท่านั้น แรก ๆ ผมก็นั่งบนเก้าอี้ เก้าอี้ที่ว่าไม่ใช่เก้าอี้นุ่ม ๆ บนเครื่อง 747 ของการบินไทยนะ แต่เป็นเก้าอี้ธรรมดา ที่บอกว่าธรรมดามันธรรมดาจริง ๆ มันเหมือนกับเอ้าอี้พับที่บ้าน มีเบาะบาง ๆ พนักพิงสั้น ๆ เป็นสายรัด

พอเครื่องไต่เพดานบินได้ระดับ ผมจึงหยิบกล้องขึ้นประทับบ่า หันกล้องไปทางหน้าต่าง ผมเริ่มกดชัดเตอร์ถ่ายภาพ อย่างว่า เครื่องบินถูกกระแสลมพัดแรง เครื่องก็ถูกโยนขึ้นลมตามแรงลมที่พัดกระแทกเครื่อง เหมือนกับนั่งรถบนทางดินลูกรัง แต่นี่มันบนฟ้า เครื่องตกตายลูกเดียว

กล้องก็ไม่อยู่กับบ่า ชักจะถ่ายยาก ถ่ายวีดีโอ นะ ถ้าจะถ่ายทุกข์ จริง ๆ เครื่องไม่มีห้องน้ำหรอก จะบอกให้ ก็อุจจาระแตก อุจจาระแตนตรงนั้นแหละ ด้วยแรงเครื่องบิน ผมถ่ายไม่ได้ ก็เลยลงมานั่งกับพื้นเครื่องบิน กะว่าจะให้กล้องนิ่งที่สุด ก็เลยใช้มือเกาะที่ขาเก้าอี้ อ้าว...พอเกาะขาเก้าอี้ เก้าอี้ก็หลุดติดมือออกมา สรุปก็คือว่าไม่มีอะไรให้เกาะ ก็ต้องยักแย่ยักยันถ่ายภาพ เพราะจะยืนก็ไม่ได้ ความสูงของเครื่องสูงไม่พอ

เครื่องบินลำน้อย พาเหินฟ้าบินไปฝั่งทะเลอันดามัน ผ่านสะพานสารสิน สู่ บริเวณอ่าวปอ ผ่านเขาพิงกัน เกาะปันหยี ข้างล่างสวยงามมาก ตาข้าง
ขวาก็มองในช่องมองภาพ ตาข้างซ้ายก็มองลอดหน้าต่างเครื่องบิน พูดง่าย ๆ ก็คือกล้า ๆ กลัว ๆ กลัวความสูงนะ เอาเป็นว่า ดูเฉพาะช่องมองภาพดูแล้วไม่เสียว เพราะเหมือนกับเราดูภาพในจอโทรทัศน์

เครื่องบินวนอ่าวพังงา ผ่านตัวเมืองพังงาลัดเลาะไปเกาะยาว โอ้...สวยครับ สวยจริง ๆ มองข้างล่างมีภูเขาเป็นรูปแปลก ๆ บางแห่งก็เป็นรูปช้าง และข้างหน้าภูเขารูปช้างก็เป็นศาลากลางจังหวัดพังงา ทรงโบราณแปลกตาดี ภูเขาบางลูกก็เป็นรูปเหมือนสุนัข ที่เรียกว่าเขาหมาจู เครื่องบินผ่านเขาตาปู ที่เคยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เจมส์ บอน 007 ตอนเพชฌฆาต ปืนทอง สวยงามมาก เพราะรอบเขาตาปู มีน้ำทะเลสีน้ำเงิน ไล่ระดับ จากสีจาง จนเป็นสีเข้ม ซึ่งเป็นทะเลลึก

เครื่องบินผ่านอ่าวปอซึ่งเป็นอ่าวที่อยู่ในอ่าวพังงา มีคนหนึ่งในเครื่องร้องตะโกนขึ้นมาว่า

"เอ้าลงที่อ่าวปอนี่แหล่ะ"

กูว่าแล้วต้องมีคนพูดขึ้นมาจนได้ ทุกคนยังนึกภาพสยดสยอง เมื่อเครื่องบินโบอิ้ง 737 ของบริษัท เดินอากาศไทย จำกัด ตกที่อ่าวปอ ก่อนที่จะร่อนลงที่สนามบินภูเก็ต เหตุเกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2530 คราวนั้นมีคนตาย 83 ศพ คือตายเรียบทั้งลำ เป็นภาพที่ติดตาตรึงใจ กับนักข่าวทุกคน ที่ไปทำข่าวรวมทั้งผม ไอ้ยศ และโกหายด้วย พอเครื่องผ่านจุดที่เครื่องตก เครื่องบินแหม ก็ช่างเป็นใจจริง จริ๊ง เครื่องก็บินส่ายไปส่ายมา บางครั้งโดนลมตี เครื่องก็โครงเครง น่ากลัวมาก เครื่องโยนไปมา ผมมองหน้าโกหาย หน้าแกซีดเผือด เหมือนไก่ตัวเมียที่ออกไข่แล้ว ซีดแบบนั้นแหละ แกอ้วกก่อนเพื่อน เหมือนตอนที่ไอ้ยศพูดก่อนขึ้นเครื่อง ว่าโกหายแกชอบเมาเครื่อง จึงเตรียมทิชชูไปหลายม้วน เอาไว้เช็ดอ้วก ทิชชูใช้งานก็ตอนนี้แหละ

เครื่องยังคงโยนตัวตามแรงลม เพราะเครื่องบินต่ำ ถ้าบินสูงเครื่องคงไม่สั่นขนาดนี้ ผมชักหน้ามืด มองอะไรไม่ค่อยเห็นตาเริ่มพล่ามัว เหงื่อเริ่มแตก มือเย็นเฉียบเหงื่อที่มือออกมาก จากที่นั่งบนเก้าอี้ของเครื่องบินก็ต้องลงมานั่งกับพื้น เพราะท้องไส้ เริ่มปั่นป่วน ผะอืดผะอม ผมมองหน้าไอ้ยศ

"ยศ พี่ไม่ไหวแล้ว ข้าศึกรุกหนัก ท้องใส่ปั่นป่วน ยศพี่อ้วกแล้ว ทำไหงดี"

ไอ้ยศมองหน้าผม แล้วบอกว่า " กลืนเลยพี่แก้ว กลืนเลย "

"ไอ้บ้า จะให้กูกลืนอ้วก กูนะเรอะ ไม่เอาโว้ย ไอ้ยศ"

"พี่ไม่ไหวแล้ว ขอถุงใส่หน่อยซิ" ผมพูดไป ก็อมอ้วกไป ในที่สุด ไอ้ยศก็ส่งถุงให้ เหมือนท่อน้ำประปาแตก แหมนึกว่าจะได้กลืนอ้วกตัวเองซะแล้ว

เครื่องบินดอร์เนีย ของราชนาวี บินอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ค่อย ๆ ลดระดับเพดานบินลง ในที่สุดก็ร่อนลงสนามบินภูเก็ต โดยสวัสดิภาพ ท่านกลางสภาพอิดโรยของ ผม ไอ้ยศ และโกหาย ผมหนักสุด เพราะเมาเครื่อง ไม่เมาได้ไง บนเครื่องร้อนก็ร้อน แถมเก้าอี้ก็นั่งไม่ได้ เออ เครื่องถึงพื้นก็นับว่าบุญแล้ว ก่อนจากขอถ่ายรูปกับเครื่องบินสักรูปเถอะว่า ครั้งหนึ่งเคยขึ้นเครื่องบิน กับเขา นี่แหล่ะชีวิตนักข่าว โลดโผนจริง ๆ พับผ่าซิเอ้า

* * * * * * * * * * * * * * *

         

1


คลิ๊กนี้มีความหมาย

ณรงค์ ชื่นนิรันดร์ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จ.ภูเก็ต อ.เมือง จ.ภูเก็ต 83000 : Webmaster by Narong Cheunniran : อีเมล์ :narongthai53@gmail.com