|
ชีวิตนักข่าวตอน...นายกขอโทษ
ณรงค์ ชื่นนิรันดร์
2 พ.ย.2549
ผมได้ติดตามทำข่าว ที่สำคัญหลายครั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีเหตุการณ์สู้รบกันอย่างหนัก ทั้งกรณีกรือเซะ และตากใบ ที่เป็นแผลลึกของความขัดแย้งที่บ่มเพาะ จนกลายเป็นความเกลียดชัง ต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ ยากที่จะลบเลือนออกไปได้ เพราะเกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน กรณีกรือเซะ มีผู้เสียชีวิตภายในมัสยิด 32 ศพ ส่วนกรณีตากใบมีผู้เสียชีวิตในขณะที่ขนโดยรถบรรทุกทหาร อย่างแออัดยัดเยียด ทำให้มีผู้ขาดอากาศหายใจตายไป 78 ศพ ทั้งสองกรณี แม้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าถูก แต่อีกฝ่ายที่สูญเสียก็ต้องบอกว่าเป็นการกระทำที่ผิด เพราะคนในพื้นที่ ที่มีสายสัมพันธ์ของความเป็นคนมลายู มีภาษา ศาสนา และวัฒนธรรม ที่เป็นอัตลักษณ์ของตนเอง ยากที่จะให้อภัย ทั้งสองกรณี นำว่าเป็นลิ่มที่ตอกย้ำความแตกแยก ให้ขยายวงกว้างห่างออกไป โดยขบวนการได้ใช้ความสูญเสียทั้งสองกรณี เป็นสื่อกระพือ ให้ขยายวงกว้างออกไป เพื่อสร้างกระแสและแนวร่วม ให้เกิดอำนาจต่อต้านรัฐ โดยมีประชาชนที่มีอัตลักษณ์เดียวกัน เป็นฐานแนวร่วม และในที่สุดเมื่อประชาชนไม่อยู่ข้างฝ่ายอำนาจรัฐ รัฐบาลก็ไม่มีอะไรที่จะปกครอง เพราะประชาชนไม่ให้ความร่วมมือ นั่นคือการสูญเสียดินแดน อย่างถาวร
การแก้ไขปัญหา ให้เกิดสันติภาพ ที่แท้จริง ทุกคนมองตรงกันว่า การใช้ความรุนแรงไม่สามารถที่จะยุติปัญหาได้ แนวทางสันติวิธีเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาได้
หลังปฏิวัติรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 และเมื่อมีการตั้งรัฐบาลแล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2549 พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายความมั่นคง ลงพื้นที่ เพื่อพบผู้นำศาสนา เยาวชน ใน 3 จังหวัด กลุ่มตัวแทนชาวจีนในปัตตานี ประมาณ 1,500 คน ที่มาประชุมพร้อมกันที่โรงแรมซีเอส จังหวัดปัตตานี ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด วันนั้นผม และคุณไพฑูรย์ ศรีรอด ผู้อำนวยการสำนักประชาสัมพันธ์เขต 6 สงขลา ได้เดินทางไปด้วย เพื่ออำนวยการด้านการถ่ายทอดสดการพบกันระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้เข้าร่วมประชุม ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 สงขลา และถ่ายทอดสดทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดปัตตานี
ตอนหนึ่งของการประชุม ผู้นำศาสนาจากจังหวัดสตูลลุกขึ้น กล่าวว่า ทำไมไม่ออกมาขอโทษประชาชน แม้จะเป็นรัฐบาลชุดใหม่ก็สามารถขอโทษแทนรัฐบาลชุดเก่าได้ เชื่อว่าถ้าขอโทษประชาชนก็ยกโทษให้อยู่แล้ว พอพูดจบ พลเอกสุรยุทธ์ ก็กล่าวตอบว่า คดีตากใบอยู่ระหว่างการดำเนินการทั้งทางแพ่งและ อาญาสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งคงจะต้องมีการสอบสวนต่อไป ผมมองทั้งสองด้าน ผมไม่ได้มองด้านเดียวแต่มองโดยรวม ส่วนที่จะให้ผมขอโทษ ผมขอโทษแทนรัฐบาลที่แล้วและขอโทษแทนรัฐบาลนี้ เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต เป็นความผิดส่วนใหญ่ของรัฐ ซึ่งต้องช่วยกันแก้ไขต่อไปวันนี้ผมมาในฐานะที่จะยื่นมือออกไป และบอกว่าผมเป็นคนผิด ผมมาขอโทษ ในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการทหารบกในสมัยรัฐบาลที่ผ่านมา ผมได้พยายามคัดค้านแต่ไม่เป็นผลซึ่งถือว่าเป็นความผิดของผมส่วนหนึ่งที่ไม่สามารถจัดการได้ ผมได้พยายามคัดค้านให้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลที่แล้วแต่ไม่เป็นผล มีหลายคนช่วยกันคัดค้านไม่ใช่ผมคนเดียว ท่านคงจะทราบว่าผมเป็นคนหนึ่งที่ถูกมองว่าไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลที่ผ่านมา
ผมต้องบอกท่านที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมในวันนั้นว่า เป็นบรรยากาศที่ดีมาก แม้นแต่ตัวผมเองยังมีความรู้สึกในการให้อภัย ต่อกัน รู้สึกตื้นตันใจ น้ำตาของผมเต็มหน่วย ปิติ อย่างบอกไม่ถูก ครับ ความรู้สึกลึก ๆ เหมือนกับสันติภาพมาเยือนบ้านเราแล้ว และต่อไปนี้พวกเราจะนอนหลับอย่างสบาย ไม่ต้องวิตกกังวล ต่อภัยอันตรายที่จะมาเกิดขึ้นกับตัวเองและคนอื่น แต่ก็ต้องบอกว่า เหตุการณ์ในภาคใต้ก็ยังไม่สงบลงเสียที ถึงแม้นว่า นายกรัฐมนตรี จะบอกว่า ขอให้เหตุการณ์สงบ ก็พร้อมที่จะ ปูผ้า กราบ งาม ๆ กับใครก็ได้ที่จะทำให้เหตุการณ์ภาคใต้สงบ สันติภาพ กลับมาอีกครั้งหนึ่ง
* * * * * * * * * * * * * | 
หน้าแรก
สถิติวันนี้ 
สถิติเดือนนี้ 
สถิติปีนี้